
“ดาวโจนส์” ปิดบวกเกือบ 500 จุด รับความหวัง “เฟด” ลดดอกเบี้ยเดือนธ.ค.
“ดาวโจนส์” ปิดบวกกว่า 493 จุด หลังจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟด “สาขานิวยอร์ก” ส่งสัญญาณอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกภายในปีนี้ ขณะที่นักลงทุนให้น้ำหนักกว่า 70% ต่อโอกาสลด 0.25% ในเดือนธ.ค. หนุนแรงซื้อหุ้นกลุ่มบริโภค–เฮลท์แคร์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นในวันศุกร์ (21 พ.ย.) หลังจอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกภายในปีนี้
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,245.41 จุด เพิ่มขึ้น 493.15 จุด หรือ +1.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,602.99 จุด เพิ่มขึ้น 64.23 จุด หรือ +0.98% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,273.08 จุด เพิ่มขึ้น 195.03 จุด หรือ +0.88%
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดดีดตัวในวันศุกร์ แต่ดัชนีหุ้นหลักทั้งสามตัวยังติดลบในรอบสัปดาห์นี้ โดยดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ลดลงราว 2% ขณะที่ Nasdaq ลดลง 2.7%
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มสื่อสารและกลุ่มเฮลท์แคร์นำตลาด โดยพุ่งขึ้น 2.15% และ 2.11% ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นเพียง 0.01%
จอห์น วิลเลียมส์กล่าวในการปราศรัยที่ซันติอาโก ประเทศชิลีว่า เขามองว่านโยบายการเงินยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างตึงตัว แม้ว่าน้อยลงกว่าเดิมหลังการดำเนินนโยบายล่าสุด ดังนั้นจึงยังมีช่องว่างสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายของเฟดในระยะใกล้ เพื่อให้ทิศทางนโยบายเข้าใกล้ระดับที่เป็นกลางมากขึ้น และยังคงรักษาสมดุลในการบรรลุเป้าหมายทั้งสองประการของเฟด
ถ้อยแถลงจากสมาชิกเฟดที่มีน้ำหนักอย่างวิลเลียมส์ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอีกครั้งในการประชุมเดือนธ.ค.นี้
สัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยเฟดให้น้ำหนักมากกว่า 70% สำหรับโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% โดยเพิ่มขึ้นจากความเป็นไปได้ไม่ถึง 40% เมื่อวันก่อน ตามข้อมูลของ CME FedWatch Tool
หุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากดอกเบี้ยที่ลดลง ซึ่งอาจกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค เป็นผู้นำในการฟื้นตัวของตลาด รวมถึงหุ้น Home Depot, Starbucks และ McDonalds โดยนักลงทุนคาดหวังว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้นจะช่วยพยุงเศรษฐกิจที่ซบเซา และรองรับมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า ควรมีการปรับลดดอกเบี้ย ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับรายงานการจ้างงานครั้งต่อไป ซึ่งต้องออกมาอ่อนแอพอสมควรเพื่อโน้มน้าวให้ตลาดเชื่อมั่นว่าเฟดควรปรับลดดอกเบี้ย

