
PTT เดินเกมพลังงานยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2050
PTT เดินหน้ายุทธศาสตร์ “ความสมดุลพลังงาน” เพิ่มศักยภาพธุรกิจไฮโดรคาร์บอน–พลังงานสะอาด–ธุรกิจอนาคต เดินหน้าขยายพอร์ต LNG แตะ 15 ล้านตันต่อปี ผลักดัน GPSC เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 70% ภายในปี 2573 และเร่งสร้างกระแสเงินสด 1 แสนล้านบาท ผ่าน Asset Monetization รองรับแผนลงทุนและปันผลระยะยาว สู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2050
นายอาภากร ชอุ่มทอง ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยในงาน Opportunity Day เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ว่า บริษัทมีรายได้รวมในไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 646,689 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 19,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 16,324 ล้านบาท ตาม EBITDA ที่ขยายตัว ประกอบกับรับรู้กำไรจากรายการพิเศษ อาทิ การซื้อคืนหุ้นกู้ของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
สำหรับทิศทางกลยุทธ์ในปี 2568 ปตท. ยังคงให้ความสำคัญกับ “ความสมดุล” ระหว่างความมั่นคงด้านพลังงาน การเข้าถึงพลังงานในราคาที่เหมาะสม และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 โดยกลยุทธ์แบ่งออกเป็น 5 ข้อหลัก ได้แก่
1.ธุรกิจปัจจุบัน (Hydrocarbon & Power / Non-Hydrocarbon) ปตท. มุ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจสำรวจและผลิต ก๊าซ ธุรกิจไฟฟ้า ไปจนถึง Downstream พร้อมยกระดับ LNG Value Chain เพื่อรองรับดีมานด์ในภูมิภาค ด้านธุรกิจ Non-hydrocarbon จะเดินหน้าเฉพาะธุรกิจที่มีศักยภาพและเสริมความแข็งแรงให้ธุรกิจหลัก ด้วยรูปแบบเติบโตผ่านพันธมิตรเชี่ยวชาญ
2.ธุรกิจอนาคต (Future Energy) เน้นการลงทุนในธุรกิจไฮโดรเจนและคาร์บอน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รูปแบบลงทุนจะอิงความพร้อมของกฎหมาย เทคโนโลยี และต้นทุน โดยเดินหน้าเป็นเฟสตามความเหมาะสม
3.การสร้างความยั่งยืน (ESG) ดำเนินงานภายใต้กรอบ ESG ครอบคลุมธรรมาภิบาล ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และการดูแลสังคม
4.โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ (Enablers) ปตท. ดำเนินโครงการ Operational Excellence (Mission X), Digital Transformation และการพัฒนาบุคลากร รวมถึงโครงการ Asset Monetization วางเป้าสร้างกระแสเงินสดรวม 100,000 ล้านบาทภายในปี 2568–2569 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพย์สินภายในกลุ่ม
5.รากฐานองค์กร (Foundation) เน้นธรรมาภิบาล การบริหารความเสี่ยง การรักษาวินัยทางการเงิน และการบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ส่งผลให้กลุ่ม ปตท. รักษาสถานะเงินสดกว่า 400,000 ล้านบาท พร้อมคงอันดับเครดิตระดับ Investment Grade
ทั้งนี้ความคืบหน้าในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 สะท้อนการเดินหน้าตามแผนเชิงกลยุทธ์ ทั้งในด้านปิโตรเลียม การไฟฟ้า และธุรกิจใหม่ โดย ปตท.สผ. ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในแหล่งสินภูฮ่อม ลงทุนแปลง A18 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย–มาเลเซีย (MTJDA) และขยายการลงทุนในแอลจีเรีย ขณะที่ Gas & Power Group เดินหน้าขยาย LNG Portfolio พร้อมตั้งเป้าปริมาณรวม 10 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030 และ 15 ล้านตันต่อปีในปี 2578 ส่วน GPSC เดินหน้าขยายสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจาก 2.2 GW สู่เป้าหมาย 9.1 GW หรือ 70% ของพอร์ตในปี 2573
ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นยังคงปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับความต้องการตลาด ส่วนธุรกิจ Trading เร่งสร้าง Synergy ผ่านโครงการ P1 และ D1 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ Supply Chain Management และบริหารต้นทุน ขณะที่กลุ่ม Mobility ยังคงรักษาฐานผู้นำตลาดน้ำมันและพัฒนาแพลตฟอร์มสู่ Thailand Mobility Partner
ด้าน Non-hydrocarbon บริษัทเดินหน้าตามกลยุทธ์ Smart Exit โดยปรับโครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า เช่น Horizon Plus รวมถึงขายเงินลงทุนใน Neomobility Asia ส่งผลให้มีเงินสดไหลกลับประมาณ 12,000 ล้านบาทเพื่อนำไปต่อยอดการลงทุนที่มีศักยภาพสูงกว่า อีกทั้งมีการปรับสัดส่วนการถือหุ้นใน Lotus Pharmaceutical (ไต้หวัน) เพื่อเพิ่มความคล่องตัว รองรับการขยายตลาดผ่านการเข้าซื้อกิจการ Alvogen US
สำหรับนโยบายเงินปันผล บริษัทระบุว่าจะพิจารณาตามแผนลงทุนและความจำเป็นทางการเงิน แต่ยังคงตั้งเป้ารักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับใกล้เคียงเดิม โดยครึ่งปีแรก 2568 จ่ายปันผลระหว่างกาล 0.90 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ราว 7.3%
ด้านแผนการออกหุ้นกู้ ในช่วงปี 2568–2569 ปตท. มีหุ้นกู้สกุลเงินบาทครบกำหนดรวม 32,000 ล้านบาท โดยในปี 2568 บริษัทได้ออกหุ้นกู้จำนวน 2 รุ่น รวมกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนและทดแทนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด ส่วนปี 2569 จะพิจารณาตามกระแสเงินสด สภาพตลาดตราสารหนี้ และแผนการลงทุน
ในส่วนปัจจัยดำเนินงาน นายอาภากรเปิดเผยว่า ปริมาณขายก๊าซธรรมชาติที่ลดลงในปีนี้เกิดจากการนำเข้าไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นตามปริมาณน้ำที่สูงกว่าปกติ ซึ่งเป็น “ปัจจัยชั่วคราวเชิงฤดูกาล” และไม่ใช่แรงกดดันโครงสร้างในระยะยาว พร้อมติดตามดีมานด์ลูกค้าและสภาพอากาศในปีหน้าอย่างใกล้ชิด ส่วนธุรกิจ NGV แม้ต้นทุนลดลง แต่ยังขาดทุนสูงขึ้นต่อเนื่อง บริษัทจึงทยอยปิดสถานีที่หมดสัญญาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ
สำหรับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ปตท. ใช้นโยบาย Natural Hedge โดยสมดุลรายได้และหนี้สินสกุลต่างประเทศเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาท

