
สรุปปัจจัยสำคัญตลาดทุน-การเงิน-เศรษฐกิจวันนี้
สรุปปัจจัยสำคัญตลาดทุน-การเงิน-เศรษฐกิจประจำวันที่ 18 มี.ค.59
– ปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 111.25 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 111.09/12 เยน/ดอลลาร์
– ส่วนเงินยูโรเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 1.1270 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1326/1330 ดอลลาร์/ยูโร
– ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,382.96 เพิ่มขึ้น 2.76 จุด (0.20%) โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 49,250 ล้านบาท
– สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 3,668.43 ล้านบาท (SET+MAI)
– ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบกับหลักการร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอด้วยคะแนนเสียง 153 เสียง งดออกเสียง 5 พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ จำนวน 21 คน แปรญัตติภายใน 5 วัน กำหนดระยะเวลาการดำเนินงาน ภายใน 20 วัน โดยเปิดให้สมาชิก สนช.แปรญัตติภายใน 5 วัน จากนั้น สนช.เตรียมจะพิจารณาวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ในวันที่ 7 เม.ย.นี้
– ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ในการประชุมวันที่ 23 มี.ค.59 นี้ เพื่อรอประเมินพัฒนาการการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ ที่กระทบต่อเศรษฐกิจอีกระยะหนึ่ง โดยมีเหตุสนับสนุนหลัก 2 ประการ คือ 1.มาตรการการดูแลเศรษฐกิจของภาครัฐในปัจจุบัน น่าจะเพียงพอที่จะช่วยประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้าได้ หากไม่มีเหตุการณ์ใหม่ๆ มากระทบเพิ่มเติม 2.การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมในช่วงเวลาที่ตลาดเงินและตลาดทุนยังคงมีความผันผวนสูง อาจลดทอนประสิทธิภาพในการส่งผ่านผลของนโยบายดังกล่าวไปสู่ภาคเศรษฐกิจ
– ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ระบุว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัว 2.8% โดยจะได้รับปัจจัยหนุนมาจากนโยบายภาครัฐ ทั้งมาตรการกระตุ้นระยะสั้นที่ส่งผลดีต่อภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอย่างน้อยครึ่งปีแรก ส่วนมาตรการลงทุนระยะยาว ประกอบด้วย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 1.8 ล้านล้านบาท ระยะเวลา 8 ปี ที่จะเร่งการทำสัญญา 20 โครงการให้แล้วเสร็จปีนี้ เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ตลอดจนมาตรการระยะยาวในด้านการส่งเสริมการลงทุนซุปเปอร์คลัสเตอร์พื้นที่ 9 จังหวัด การลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจ
– นายสุธน บุญประสงค์ รองผู้ว่าการระบบส่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การใช้ไฟฟ้าของประเทศปี 2559 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน ซึ่งการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) ประจำวันมีสถิติเพิ่มสูงขึ้นตามสภาพอากาศและอุณหภูมิที่สูงขึ้นเช่นกัน คาดการณ์ว่า Peak ในปี 2559 น่าจะอยู่ที่ 28,500 เมกะวัตต์ ภายใต้อุณหภูมิที่คาดว่าจะสูงขึ้นถึง 38.5 องศาเซลเซียส เพิ่มขึ้นจากเดิม 4.1% โดยคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงปลายเดือนเมษายน-เดือนพฤษภาคมนี้
– กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่มีการลงทุนในสหรัฐมากที่สุดเป็นอันดับสองในปี 2558 รองจากลักเซมเบิร์ก โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทญี่ปุ่นเข้าซื้อกิจการของสหรัฐ ทั้งนี้ ยอดการลงทุนโดยตรงของญี่ปุ่นในสหรัฐอยู่ที่ 3.603 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2558 ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับสอง หลังจากที่เมื่อปี 2556 ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ลงทุนมากที่สุดในสหรัฐ ด้วยยอดลงทุน 4.362 หมื่นล้านดอลลาร์
– นายเดล จอร์เกนสัน ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ ประจำมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่นว่า ญี่ปุ่นจำเป็นต้องปรับขึ้นภาษีการขายเพื่อหนุนเศรษฐกิจให้ขยายตัว และการกระตุ้นความสามารถในการผลิตมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเราต้องถ่ายโอนภาระภาษีจากการลงทุนไปที่การบริโภค อย่างไรก็ดี ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าญี่ปุ่นควรปรับขึ้นภาษีการขายในเดือนเม.ย.ปีหน้าตามที่วางแผนไว้หรือไม่ เนื่องจากยังมีเวลาใคร่ครวญประเด็นดังกล่าวอีกมาก
– สำนักงานสถิติของเยอรมนี (Destatis) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของเยอรมนีในเดือนก.พ.ปรับตัวลดลง 0.5% จากเดือนม.ค. แต่หากเทียบรายปีพบว่าดัชนี PPI เดือนก.พ.ร่วงลง 3.0% ทั้งนี้ ดัชนี PPI เดือนก.พ.ได้รับแรงกดดันขาลงจากราคาพลังงาน โดยข้อมูลระบุว่าราคาพลังงานปรับตัวลดลง 1.6% ในเดือนก.พ.จากเดือนม.ค. และร่วงลงถึง 9.4% เมื่อเทียบรายปี
– ซาอุดิอาระเบีย ยืนยันว่าจะเข้าร่วมประชุมกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันกลุ่มโอเปกและนอกกลุ่มโอเปก โดยการประชุมดังกล่าวจะจัดขึ้นที่เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์ ในวันที่ 17 เม.ย.ซึ่งผู้ผลิตน้ำมันราว 15 ชาติจะเข้าร่วมการประชุมด้วย การที่ซาอุดิอาระเบียตกลงเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กับประเด็นการตรึงกำลังการผลิต หลังจากซาอุดิอาระเบีย, รัสเซีย, เวเนซุเอลา และกาตาร์ บรรลุข้อตกลงในเดือนที่แล้วในการตรึงกำลังการผลิตน้ำมัน
ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์