ครม.เคาะแพ็กเกจ “Quick Big Win” อุ้มเอสเอ็มอี หนุนเศรษฐกิจ 3.15 แสนล้านบาท

รัฐบาลเดินเครื่องแพ็กเกจช่วยเอสเอ็มอีครบวงจร ทั้งค้ำประกัน 5 หมื่นล้าน ซอฟต์โลนต้นทุนต่ำ 2.17 แสนล้าน และมาตรการภาษี–ดิจิทัลซัพพลายเชนผ่าน Prompt BIZ ตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจ–สร้าง Ecosystem ใหม่ มูลค่ารวมกว่า 3.15 แสนล้านบาทในปี 2569


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (2 ธ.ค.68) ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงมาตรการเสาที่ 3 “Quick Big Win” เพื่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งคิดเป็น 90% ของผู้ประกอบการไทยทั้งหมด

โดยตั้งเป้าเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างยั่งยืน คาดจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจรวมกว่า 315,000 ล้านบาท หรือราว 0.36% ของจีดีพีในปี 2569 ประกอบด้วย 3 มาตรการหลัก

มาตรการแรก เสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ เริ่มจากการค้ำประกันสินเชื่อผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท รัฐบาลรับภาระค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก เพื่อให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี

โดยแบ่งเป็น 3 โครงการ ได้แก่ SMEs Go Big สำหรับผู้ประกอบการทั่วไป, SMEs Smart Win สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย และ SMEs Quick LG สำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างและงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ–รัฐวิสาหกิจ ซึ่งเปิดรับคำขอถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569 พร้อมขยายโครงการ PGS ระยะที่ 11 ที่ยังมีวงเงินค้ำประกันเหลืออยู่ไปจนถึงวันเดียวกัน

ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย อยู่ระหว่างออกแบบ “กองทุนค้ำประกัน” เพิ่มเติม เพื่อรองรับหนี้เสียและเพิ่มความมั่นใจให้สถาบันการเงิน หากผู้ประกอบการไม่สามารถชำระหนี้ได้ ธนาคารจะสามารถเคลมได้ทั้งจาก บสย. และกองทุนใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้น

มาตรการที่สอง เพิ่มประสิทธิภาพภาคธุรกิจ โดยธนาคารออมสินเตรียมปล่อยซอฟต์โลนดอกเบี้ย 0.01% ให้ธนาคารรัฐและธนาคารพาณิชย์นำไปปล่อยกู้เอสเอ็มอี ในอัตรา 3.5% รวมวงเงิน 217,000 ล้านบาท โดยมีสถาบันการเงินของรัฐ 7 แห่งเข้าร่วม

ซอฟต์โลนดังกล่าว แบ่งเป็น 4 โปรแกรม ได้แก่ Mitigation สำหรับผู้ได้รับผลกระทบอุทกภัย ยื่นได้ถึง 30 กันยายน 2569, Reinvent Thailand ที่ทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อกำหนดเกณฑ์สินเชื่ออุตสาหกรรมเป้าหมาย, Transformation เพื่อยกระดับศักยภาพธุรกิจ และ Tourism สำหรับภาคท่องเที่ยว โดยทั้ง 3 โครงการหลังยื่นคำขอได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2570

ในด้านภาษี กรมสรรพากรเตรียมคืนภาษีนิติบุคคลให้เอสเอ็มอีราว 20,000 ราย วงเงินประมาณ 60,000 ล้านบาทภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อเร่งอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบธุรกิจในช่วงไตรมาส 4

ควบคู่กับการเดินหน้าโครงการ “พี่ช่วยน้อง” ที่ดึงบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์เข้ามาสนับสนุนเอสเอ็มอีในห่วงโซ่อุปทาน รัฐบาลยังผลักดันให้เอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ ผ่านมาตรการภาษีที่ให้บริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่าหากสนับสนุนให้คู่ค้าเอสเอ็มอีใช้ e-Tax Invoice ซึ่งข้อมูลจะถูกเชื่อมเข้าสู่ Prompt BIZ ช่วยให้ธนาคารมีข้อมูลประกอบการปล่อยสินเชื่อได้แม่นยำขึ้น

นายเอกนิติ ระบุว่า เดิมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องรอชำระเงิน 3–6 เดือน แต่เมื่อใช้ e-Tax Invoice บน Prompt BIZ ธนาคารจะมีความมั่นใจมากขึ้นและสามารถปล่อยสินเชื่อได้รวดเร็วขึ้น ถือเป็นการยกระดับระบบนิเวศเอสเอ็มอีให้มีความยั่งยืนในระยะยาว

มาตรการที่สาม สร้างโอกาสให้เอสเอ็มอีเติบโตอย่างยั่งยืน โดยกำหนดแต้มต่อทางราคาสูงสุด 20% ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แบ่งเป็น 10% สำหรับ SMEs ไทย, 5% สำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศ และอีก 5% สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้ e-Tax Invoice ซึ่งเชื่อมเข้าระบบ Prompt BIZ นอกจากนี้ กรมบัญชีกลางยังทดลองเชื่อมระบบ e-GP และ GFMIS เข้ากับ Prompt BIZ เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถใช้ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างมาประกอบพิจารณาสินเชื่อ Supply Chain Financing ได้สะดวกขึ้น

กระทรวงพาณิชย์ ยังอยู่ระหว่างพิจารณาจัดตั้งแพลตฟอร์ม E-Commerce ของประเทศไทย เพื่อเพิ่มช่องทางออนไลน์และลดต้นทุนธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย

นายเอกนิติ กล่าวว่า มาตรการในเสาที่ 3 คาดว่าจะช่วยผลักดันจีดีพีเพิ่มขึ้นราว 0.3–0.4% และเมื่อรวมกับมาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” ประเมินว่าแรงส่งในไตรมาส 4 จะดีกว่าระดับ 0.3% ขณะที่สภาพัฒน์ประเมินไว้ 0.6% โดยมองว่าภาพรวมทั้งหมดน่าจะขยับเข้าใกล้ 1%

สำหรับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประเมินไว้ราว 0.1% เนื่องจากเมื่อเทียบกับจีดีพีทั้งระบบเกือบ 20 ล้านล้านบาท สัดส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่ได้สูงมาก แม้ในมิติชีวิตประชาชนจะมีน้ำหนักมากก็ตาม โดยในภาพรวมเชื่อว่าไตรมาสสุดท้ายของปี จะเติบโตเกิน 0.6% แน่นอน

ด้านวงเงินตาม พ.ร.บ. 28 อยู่ที่ 210,000 ล้านบาท และอีก 21,750 ล้านบาท พร้อมกันวงเงินบางส่วนเพื่อใช้ในโครงการซอฟต์โลน

Back to top button