เจาะงบฯ 7 หุ้น “เครือ ปตท.” ไตรมาส 1 ฟาดกำไรทะลักถ้วนหน้า!

เจาะงบฯ 7 หุ้น "เครือ ปตท." ไตรมาส 1 ฟาดกำไรทะลักถ้วนหน้า!


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ที่ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2564 สิ้นสุด 31 มี.ค. 2564 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยพบว่าบริษัทในเครือ 7 บริษัท ต่างทำผลประกอบการออกมาได้อย่างโดดเด่น ดังนี้

1. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 มีกำไรสุทธิ 32,587.61 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีผลขาดทุน 1,554.36 ล้านบาท เนื่องจาก รายได้ของกลุ่มปิโตรเคมีและการกลั่น รวมถึงธุรกิจการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นตามราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่สูงขึ้น ในไตรมาส 1/64 โดยปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA เพิ่มขึ้น 70,612 ล้านบาท หรือมากกว่าร้อยละ 100.0 จากไตรมาส 1/63 สาเหตุหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น

2. บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 มีกำไรสุทธิ 11,533.68 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2,921.20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33.92% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 8,612.48 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1/64 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 60 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล เป็นผลจากการใช้วัคซีน ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มากขึ้นในหลายประเทศและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกโดยรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นในการผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองและการเปิดเสรีการเดินทางระหว่างประเทศอีกครั้ง

นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการขายเฉลี่ยของไตรมาส 1/64 กับไตรมาส 1/63 ที่มีปริมาณการขายเฉลี่ย 363,411 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน พบว่าปริมาณการขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น โดยหลักจากโครงการบงกช และโครงการคอนแทร็ค 4 เนื่องจากผู้ซื้อรับก๊าซธรรมชาติในปริมาณที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งโครงการพีดีโอ (แปลง 6) ที่มีการขายน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น

3. บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/64 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2564 มีกำไรสุทธิ 9,694.87 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 8,784.12 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากการขายรวม 101,864 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากไตรมาส 4/63 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาส 1/63 เป็นผลมาจากราคาขายของทุกผลิตภัณฑ์ที่ปรับขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง จากอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ตามสภาพเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น และราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับเพิ่มขึ้น

รวมทั้งบริษัทฯ มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น จากแผนการปิดซ่อมบำรุงตามแผนที่น้อยกว่าในไตรมาส 1/63 ทำให้บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและการกลับรายการมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อ ประกันความเสี่ยงและรายการพิเศษอื่นๆ) ในไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 8,769 ล้านบาท

4. บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/64 มีกำไรสุทธิ 5,581.21 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 8,904.90 ล้านบาท เนื่องจาก มีรายได้จากการขายสุทธิเพิ่มขึ้น 4,771 ล้านบาท หรือร้อยละ 11 โดยมีสาเหตุจากราคาขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ Market GIM เพิ่มขึ้น 3,300 ล้านบาท หรือร้อยละ 90 โดยมีสาเหตุจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามราคาน้ำมัน และการแพร่ระบาดของ COVID-19 บริษัทฯ มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิ 5,002 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันสุทธิ 6,811 ล้านบาท

ส่งผลให้ Accounting GIM เพิ่มขึ้น 15,113 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง 294 ล้านบาท ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้น 15,219 ล้านบาท บริษัทฯบันทึกค่าเสื่อมราคาลดลง 47 ล้านบาท

ต้นทุนทางการเงินสุทธิลดลง 23 ล้านบาท หรือร้อยละ 5 ขาดทุนจากการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินลดลง 448 ล้านบาท ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯลดลง 318 ล้านบาท จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า

ประกอบกับมีกำไรจากกการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง 548 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/63 ที่มีขาดทุนจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง 993 ล้านบาท

นอกจากนี้ มีกำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้น 107 ล้านบาท ขณะที่บันทึกภาษีเงินได้จำนวน 972 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมีเครดิตภาษีเงินได้ 2,246 ล้านบาท ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/64 มีกำไรสุทธิ 5,581 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 1/63 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 8,905 ล้านบาท

5. บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/64 มีกำไรสุทธิ 3,360 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 13,754.50 ล้านบาท เนื่องจาก มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น 2.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จาก Crude Premium ที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แม้ส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าดและน้ำมันดีเซลจะปรับลดลงจากอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ขณะที่มีกำไรขั้นต้นจากกลุ่มอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ตลาดสาร LAB ยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ที่ดีในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับตัวดีขึ้นอย่างมากจากอุปทานที่ตึงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ยังมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 4,656 ล้านบาท เทียบกับผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 10,772 ล้านบาทในไตรมาส 1/63 ประกอบกับมีการกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือ น้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 109 ล้านบาท ในขณะที่มีรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 3,480 ล้านบาทในไตรมาส 1/63 เมื่อรวมกับผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA เพิ่มขึ้น 20,520 ล้านบาท เมื่อหักต้นทุนทางการเงิน ที่ลดลง 289 ล้านบาท จากการรวมต้นทุนการกู้ยืมเป็นส่วนหนึ่งของราคาทุนของสินทรัพย์ และหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กลุ่มไทย ออยล์มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 17,114 ล้านบาท จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

6. บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 มีกำไรสุทธิ 1,973.48 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 393.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.91% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 1,579.89 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี และกำไรจากการขายหุ้นในบริษัท โกลบอล รีนิวเอเบิล เพาเวอร์ จำกัด รวมถึงเงินปันผลรับจากบริษัท ราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด

7. บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 มีกำไรสุทธิ 4,003.20 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2,104.85 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 110.88% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไร 1,898.35 ล้านบาท เนื่องจาก EBITDA ในไตรมาส 1/64 จำนวน 6,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,314 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.8% จากไตรมาส 4/63 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรของผลิตภัณฑ์น้ำมัน

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ดีขึ้น ได้แก่ ค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง 10.1% โดยหลัก คือ ค่าโฆษณาและส่งเสริมการขาย และค่าซ่อมแซม มีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น จากเงินบาทที่อ่อนค่า เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐฯ ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นทำให้ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 4,002 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,079 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 36.9% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.38 บาท สูงกว่าไตรมาสก่อน 0.06 บาท หรือเพิ่มขึ้น 18.8%

Back to top button