เปิด 10 รายชื่อหุ้น SET100  วิ่งแรงครึ่งปีแรก PSL นำทีมพุ่ง 175% สวนพิษโควิด!

เปิด 10 รายชื่อหุ้น SET100  วิ่งแรงครึ่งปีแรก ประกอบด้วย PSL,RBF,GUNKUL,KCE,DOHOME, HANA,COM7,NRF,SYNEX,BEC,BCH,JMART


ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ดัชนีปรับเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 63 ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ

สำหรับดัชนี SET ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 อยู่ที่ระดับ 1449.35 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 1587.79 ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 บวก 138.44 จุด หรือเพิ่มขึ้น 9.55% โดย 6 เดือนแรกปี 2564  มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่  98,328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นของราคาหลักทรัพย์บางกลุ่มที่สูงกว่าผลการดำเนินงานในอดีตค่อนข้างมาก ซึ่งผู้ลงทุนควรพิจารณาข้อมูลพื้นฐานเป็นรายหลักทรัพย์และกระจายความเสี่ยงในการลงทุน

ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET100  ในช่วง 6 เดือนแรก 2564 มานำเสนอเพื่อให้เห็นทิศทางหุ้นรายใดปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางปัจจัยลบ และเป็นโอกาสให้เข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งราคาถูกเข้าพอร์ตอ่อนตัวเกินพื้นฐาน

สำหรับกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรง 10 อันดับของกลุ่ม SET100 โดยเปรียบเทียบข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.63-30 มิ.ย.64 โดยเรียงลำดับราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงมากสุดไปหาน้อยสุด ประกอบด้วย PSL,RBF,GUNKUL,KCE,DOHOME, HANA,COM7,NRF,SYNEX,BEC,BCH,JMART

 

โดยอันดับ 1 คือ บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL ราคาหุ้นในช่วง 6 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 175.00% จากระดับ 7.60 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 20.90 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.64 คาดเก็งกำไรจากค่าระวางเรือ BDI index ทะยานแรงต่อเนื่อง และผลงานปีนี้โตเด่นและรับแรงหนุน

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า หุ้น PSL คาดการณ์กำไรสุทธิในไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 658 ล้านบาท (จากขาดทุน 1.18 พันล้านบาทในไตรมาส 2/2563 แต่เพิ่มขึ้น 76% จากไตรมาสก่อน) ซึ่งเป็นกำไรที่สูงสุดรายไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาส 3/2552 ทั้งนี้หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 108 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2563 จะเติบโต 146% จากไตรมาสก่อน

โดยผลประเมินว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 พลิกมีกำไรสุทธิ ซึ่งหลักๆมาจาก 1) รายได้ที่ 1.85 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 172% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 49% จากไตรมาสก่อน หนุนโดยค่าระวางที่ปรับขึ้นมาแรง ซึ่งคาด TC rate เฉลี่ยของ PSL ในไตรมาส 2/2564 ที่ 18,307 ดอลลาร์/วัน (ทั้งนี้มี Discount จาก Market TC rate เนื่องจากเรือมีขนาดเล็กกว่าเรืออ้างอิงของดัชนีและมีเรือที่ผูกสัญญา Fix contract จำนวน 6 ลำ) และ2) คาดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ปรับขึ้นมาที่ 47% (จาก 37% ในไตรมาส 1/2563)

ขณะเดียวกันดัชนี BSI index อาจถูกกดดันจากดัชนี BDI index ที่มี correction ลงมาในระยะสั้น (BCI Index ปรับลงติดต่อกัน 4 วันทำการ) อย่างไรก็ตามบริษัทฯมีมุมมองว่าดัชนีค่าระวางยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น โดยมีแผนที่จะทำ Fix contract มากขึ้นในไตรมาส 4/2564 เนื่องจากมองว่าเป็นช่วง high season ซึ่งจะทำให้สัญญาได้ค่าระวางที่สูงส่วนปัจจุบันมี Fix contract อยู่ 17% ของกองเรือ

ทั้งนี้ปัจจัยที่จะหนุนค่าระวางในระยะสั้นได้แก่ การเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวซึ่งจะหนุนการขนส่งธัญพืช ส่วนในระยะยาวยังมีปัจจัยหนุนจาก Infrastructure stimulus plan ของสหรัฐฯ มีงบประมาณ 5.80 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และการขุดคลอง Istanbul grand cannel ยาว 45 km ในตุรกี ซึ่งจะทำให้มี demand การขนส่งปูนซีเมนต์ เหล็ก และไม้มากขึ้นโดยคาด Global dry-bulk demand ปี 2564 จะเติบโตที่ 5-7% ในขณะที่ supply ของกองเรือคาดเติบโตเพียง 2-3%

อย่างไรก็ตามคาดกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 1.52 พันล้านบาท (จากขาดทุน 1.30 พันล้านบาทในปี 2563) ซึ่งหลักๆ มาจาก 1) รายได้เติบโต 62% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 6.05 พันล้านบาท หนุนโดย Global Demand ที่ฟื้นตัว

นอกจากนี้บริษัทฯยังไม่มีแผนที่จะซื้อเรือเพิ่มในปีนี้เนื่องจากราคาเรือมือสองปรับขึ้นมา 60-70% นับจากต้นปีมาถึงช่วงเวลาปัจจุบันซึ่งบริษัทฯมองว่ายังไม่ใช่จังหวะที่ควรจะซื้อเรือ อนึ่งบริษัทฯอาจมีแผนซื้อเรือเพิ่มในปี 2568 (2) คาดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่39.40% (จากปี 2563 ที่ 13.60% ใกล้เคียงปี 2553 ที่ดัชนี BSI Index อยู่ที่ระดับ 2,000-3,000 จุด) หากค่าระวางยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4/2564อาจทำให้มี Upside ต่อประมาณการของทางฝ่ายวิจัย

รวมทั้งประเมินราคาเหมาะสมที่ 24.00 บาท อิงปี2564ค่า PER ที่ 24.00 เท่าโดยทางฝ่ายวิจัยให้ Targeted PER ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังเนื่องจาก 1) แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะพลิกกลับมามีกำไรได้ในปี 2564 (2) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่จะดีขึ้นจากค่าระวาง BSI Index ที่อยู่ในระดับสูงหนุนโดยการขนส่งระหว่างประเทศที่สูงขึ้นจาก Commodity super cycle ที่เกิดขึ้นทุกๆ 12 ปี

 

อันดับ 2 บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF ราคาหุ้นในช่วง 6 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 137.63% จากระดับ 9.30 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 22.10 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.64 ราคาหุ้นปรับตัวแรงส่วนใหญ่มาจากพื้นฐานบริษัที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มธุรกิจในปีนี้เติบโต และรับแรงหนุนจากธุรกิจกัญชงทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง

โดยล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ออกใบอนุญาตผลิต (ที่มิใช่การปลูก) ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง เลขที่ใบอนุญาต 1/2564 (มป) เพื่อให้ไว้แก่ บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม การได้รับอนุญาตดังกล่าว บริษัทจะสามารถดำเนินการสกัดสารสำคัญทางพืชกันชงที่มาจากแปลงปลูกที่ได้รับอนุญาต Cannabidol หรือ CBD และ Tetrahydrocannabinol หรือ THC ตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด

โดยนำผลผลิตที่ได้จากสารสกัดไปใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง สมุนไพร อาหารเสริม และสินค้าอื่นๆ ภายใต้ข้อกำหนดของที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งอนุญาตสู่ตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศโดยคาดการณ์ว่าจะเริ่มมีรายได้เชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4/2564 โดยใบอนุญาตโรงงานสกัดสาร CBD-THC จากกันชงผลิต (ที่มิใช่การปลูก) ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง ให้ไว้ ณ วันที่ 2 กรกฎาคม 2564

ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น RBF ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 ขึ้นเป็น 23 บาท/หุ้น จากเดิม 17 บาท/หุ้น โดยบริษัทเริ่มเดินหน้าขอใบอนุญาตโรงสกัด และปลูกกัญชงบนพื้นที่จ.เชียงใหม่แล้ว รวมถึงเริ่มมีเกษตรเครือข่ายของบริษัททยอยขอใบอนุญาตเช่นเดียวกันขนาดพื้นที่รวม 500-1,000 ไร่ กอปรกับมีการติดต่อกับผู้ที่ได้รับอนุญาตให้นาเข้าเมล็ดพันธุ์ 1 ใน 7 แล้ว โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้การขาย CBD Isolate ราว 600 ล้านบาท/ 1 Crop

ทั้งนี้มองว่ามีโอกาสที่จะเริ่มรับรู้รายได้อย่างเร็วในปี 2565 และมองว่าที่เป้าหมายรายได้ดังกล่าวมีความเป็นไปได้บนสมมติฐานพื้นที่ปลูก 300-450 ไร่ และราคาขาย 2-3 แสนบาท/กก. ใกล้เคียงกับราคาที่มีการขายผ่านเว็บไซต์ในปัจจุบัน ดังนั้นจึงปรับเพิ่มรายได้ปี 2565-2566 ขึ้น 25%-28% นำไปสู่การปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี  2565-2566 ขึ้น 18%-30% เป็น 1,142 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 64.6% เมื่อเทียบจากปีก่อน) และ 1,338 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 17.1% เมื่อเทียบจากปีก่อน) ตามลำดับ

 

อันดับ 3 คือ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL  ราคาหุ้นในช่วง 6 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 87.30% จากระดับ 2.52 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 4.72 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.64

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ประเมินแนวโน้ม GUNKUL เกี่ยวกับธุรกิจหลักด้านโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวขึ้น โดยปีนี้จะมีโครงการโซลาร์ฟาร์ม ที่ประเทศเวียดนาม จำนวน 4 โครงการ และโซลาร์ฟาร์ม ในประเทศมาเลเซีย 1 โครงการ กำลังผลิตรวม 181 MW ผสานกับธุรกิจกัญชาจะช่วยต่อยอดการเติบโตที่ชัดเจนขึ้น

ด้าน ดร.สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GUNKUL เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ภายในปี 2564 บริษัทยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผนที่วางไว้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะธุรกิจด้านพลังงานทดแทน ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังคงมองหาโอกาสการลงทุนและเข้าร่วมประมูลงานโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม

ทั้งนี้ในครึ่งปีแรกบริษัทมี Backlog เพิ่มเข้ามา 1.7 พันล้านบาท และในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแผนเข้าประมูลงานเพิ่มเติมมูลค่ารวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท คาดจะได้รับงานเพิ่มอีก 15-20% จากยอดดังกล่าวจึงน่าจะเป็นปัจจัยบวกให้ผลการดำเนินงานปีนี้เติบโตอย่างโดดเด่น และบริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปีนี้ไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมจำนวน 10,975 ล้านบาท

 

โดยอันดับ 4 คือ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ราคาหุ้นในช่วง 6 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 85.54% จากระดับ 41.50 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 77.00 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.64 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงจากพื้นฐานบริษัทที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มกำไรปีนี้โตแตะ 2.2 พันล้านบาท และเก็งกำไรเข้า SET50 รอบใหม่มีผล 30 มิ.ย.2564 อีกทั้งภาพธุรกิจยังดีมากโดยมีคำสั่งซื้อปัจจุบันเพียงพอถึง พ.ย.ตามกลุ่มลูกค้ารถยุโรป

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ”ซื้อเก็งกำไร”หุ้น KCE ภาพธุรกิจยังดีมาก คำสั่งซื้อปัจจุบันเพียงพอถึง พ.ย. แล้วตามกลุ่มลูกค้ารถยุโรป ที่มีความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ และเพื่อปิดความเสี่ยงในภาวะเซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลน ขณะที่ บริษัทเตรียมเริ่มปรับราคากว่า 5% ตั้งแต่ไตรมาส 2/64 เพื่อชดเชยผลกระทบจากทองแดงสูงขึ้น

โดยรวมมองกำไรไตรมาส 2/64 ราว 559 ล้านบาท เพิ่มทั้งเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน,เทียบไตรมาสก่อนหน้า  และมองกำไรทั้งปี 2.2 พันล้านบาท โต 103% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายปี 2564 โตกว่า +28% และอัตรากำไรที่สูงขึ้น

ในแง่ Valuation: Trading รับภาพ bullish ของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี PER64 ที่ 38 เท่า

ทั้งนี้ Catalyst เงินบาทอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า ล่าสุด 32.05 บาท/ดอลล่าร์  และ 2 ปัจจัยบวก 1. ถูกนำเข้า SET50 มีผลวันนี้ 2. จีนมีมาตรการชะลอความร้อนแรงของโภคภัณฑ์ (รวมทองแดง) โดยการลดการถือครองในแหล่งสำรอง เป็นสัญญาณบวกต่อต้นทุนทองแดงของ KCE  ช่วงถัดไป ในภาวะที่ปรับราคาขายขึ้นมาได้แล้ว

 

อันดับ 5 บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME ราคาหุ้นในช่วง 6 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 80.36% จากระดับ 14.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 25.25 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.64

ด้านนางสลิลทิพ เรืองสุทธิภาพ รองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชี การเงิน และสนับสนุนองค์กร DOHOME เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้ของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปแตะ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับรายได้สูงสุดใหม่ของบริษัท จากการที่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 จะมีแผนการเปิดสาขาใหม่อีก 3 สาขา ได้แก่ สาขาบ่อวิน จ.ชลบุรี ในเดือนมิ.ย. 64 สาขาในอมตะนคร จ.ชลบุรี ในเดือนพ.ย. 64 และสาขาในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ช่วงเดือนธ.ค. 64 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้จากสาขาใหม่เข้ามาเสริม  หลังจากที่ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเปิดสาขาใหม่ไปแล้ว 1 สาขา

โดยแผนการเปิดสาขาใหม่ในปี 65 วางแผนเปิด 5 สาขาใหม่ โดยปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้ว 3 สาขา ที่จะขอเงินกู้จากธนาคาร และอีก 2 สาขา อยู่ระหว่างเจรจาขอเช่าพื้นที่ระยะยาว 30 ปี ซึ่งจะเน้นการขยายสาขาไซส์ L เป็นหลัก โดยตั้งงบลงทุนไว้ที่ 450 ล้านบาท/สาขา

บล.เคทีบีเอสที แนะนำ “ซื้อ” DOHOME ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท ปรับกำไรสุทธิปี 2564-2565 ขึ้น +16%/+15% มีการปรับกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้น 16% เป็น 1.75 พันล้านบาท (+141% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) หลักๆ มาจากการปรับ 1) GPM ขึ้น 20 bps เป็น 20.5% หลังบริษัท ได้ปรับ product mix จากเดิมที่เน้นการขายวัสดุก่อนสร้าง มาเน้นสินค้าตกแต่ง ซ่อมแซมมากขึ้น

2) ปรับ SG&A/sales ลงเป็น 10.8% (จากเดิม 12.0%) จากการควบคุมค่าใช่จ่ายในการบริหาร ขายและจัดจำหน่ายที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ปรับกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้นอีก +15% ที่ 1.92 พันล้านบาท (+10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) หลักๆ มา จากการปรับ SG&A/sales ลงเป็น 10.8% (จากเดิม 12.0%) Valuation/Catalyst/Risk

ได้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 30.00 บาท โดยได้re-rate PER ขึ้นมาที่ 40.0x (peer avg. ที่ 33.0x) จาก Outlook ที่ดูสดใสในปี 2564 โดยคาดว่า SSSG ของบริษัทจะเติบโตได้สูงกว่ากลุ่ม และมี CAGR ของกำไรปี 2563-252566 เติบโตที่ +46% สูงกว่า GLOBAL +24% และ HMPRO +13%

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button