MGT แรลลี่ยาว! พุ่งอีก 26% “ออลไทม์ไฮ” รับแผนธุรกิจเด่น-ลุ้นกำไร Q2 โตแจ่ม

MGT แรลลี่ยาว! พุ่งอีก 26% “ออลไทม์ไฮ” รับแผนธุรกิจเด่น-ลุ้นกำไร Q2 โตแจ่ม แนะซื้อเป้า 4.90 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(6 ส.ค.64) ราคาหุ้น บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT ณ เวลา 15.42 น. อยู่ที่ระดับ 4.86 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 25.91% สูงสุดที่ระดับ 5.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.86 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 326.59 ล้านบาท ทั้งนี้ราคาหุ้น ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เข้าตลาดเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2560

โดยก่อนหน้า นายวิทยา อินาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MGT เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องกัญชง-กัญชา โดยวางแผนจะทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยต้นน้ำคือเรื่องการนำเข้าเมล็ดเพื่อเพาะปลูกและขยายพันธุ์ ส่วนกลางน้ำคือการดำเนินงานทำวิจัยเพื่อสกัดสาร CBD ตามมาตรฐานไทย และปลายน้ำคือการนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ออกจำหน่าย โดยบริษัทได้มองหาบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอาหาร เครื่องสำอาง เพื่อทำการควบรวมกิจการ (M&A) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในไตรมาส 4/64 นี้

ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/64 ว่า ในดือน เม.ย.-พ.ค.ออกมาดีกว่าช่วงเดียวกันของปี 63 โดยมองว่าจะสามารถคงเป้าการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ได้ จากช่วงต้นปี 64 ที่เกิดพายุหิมะที่รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้บริษัทเคมีรายใหญ่ไม่สามารถส่งออกวัตถุดิบไปทั่วโลกได้ ประกอบกับหลายบริษัทประสบปัญหาราคาขนส่งสินค้าสูงขึ้นจากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ในขณะที่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากสามารถบริหารจัดการสต็อกได้เป็นอย่างดี ทำให้บริษัทได้ส่วนแบ่งตลาดที่มากขึ้น

บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า MGT แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.90 บาท กำาไรสุทธิไตรมาส 1/2564 เพิ่มขึ้น 18.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 75.3% เทียบไตรมาสก่อนหน้า โดยยเป็นผลมาจากการปริมาณการจำหน่าย เคมีภัณฑ์ชนิดต่างๆเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรายได้จาก Oil and Gas ที่เพิ่มขึ้น 61% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ร ายได้จาก Performance Coating เพิ่มขึ้น 33% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยคาดผลประกอบการโตต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 64 แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในระลอกใหม่ช่วงต้นไตรมาส 2/2564  จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการบางรายที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท แต่สัดส่วนรายได้จากกลุ่มลูกค้าดังกล่าวถูกชดเชยจากการที่หลายประเทศเริ่มมีการผ่อนปรน มาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ ส่งผลให้การส่งออกมีการฟื้นตัวโดดเด่น ทำให้คาดว่าในช่วงที่เหลือของปี 64 บริษัทจะมีผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในไตรมาส 2/2564 ที่คาดว่าจะเป็นจุดสูงสุดใหม่ ของบริษัทหลังไตรมาส 2/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ซึ่งสอดคล้องกับ การที่บริษัทเปิดเผยถึงแนวโน้มยอดขายในช่วง เม.ย. –พ.ค. 64 ที่มีการเติบโตขึ้น เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้บริษัทมีแผนดำเนินธุรกิจผลิต Graphite หลังมีการร่วมทุนกับทาง Fuji Graphite Works ซึ่งคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายในช่วงไตรมาส 4/2564 ประกอบกับแผนการ M&A กับบริษัทที่มีการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ Cosmetic รวมไปถึงศึกษาธุรกิจ เกี่ยวกับกัญชงและกัญชา ตั้งแต่ต้นน้ า-ปลายน้ำ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 4/2564

Back to top button