หุ้นธนาคาร เจอพระศุกร์เข้า

พอย่างเข้าไตรมาสสาม ก็ได้เวลาของการพินิจหุ้นกลุ่มธนาคารกันตามระเบียบ


พอย่างเข้าไตรมาสสาม ก็ได้เวลาของการพินิจหุ้นกลุ่มธนาคารกันตามระเบียบ

เหตุผลก็เพราะมีสาเหตุสามประการคือ

1) หุ้นกลุ่มนี้ถูกธนาคารชาติกำหนดให้ประกาศงบการเงินก่อนกลุ่มอื่นใด อย่างช้าภายในวันที่ 20 กรกฎาคม

2) หุ้นกลุ่มนี้มีมาร์เก็ตแค็ปใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย มีสัดส่วนประมาณ 30% ของมาร์เก็ตแค็ปตลาด ซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อตลาดโดยรวมต่อไป

3) รายละเอียดของรายได้กลุ่มนี้จะบ่งบอกหรือส่งสัญญาณต่อกลุ่มกิจการอื่นหรือตลาดเงิน ตลาดสินค้า รวมทั้งความสามารถชำระหนี้ของบริษัทอื่น ๆ ในตลาดที่เป็นลูกหนี้ด้วย ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

4) หุ้นกลุ่มนี้มีความสามารถทำกำไรสูงกว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ มาก อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย เกินร้อยละ 30 ถือเป็นเกณฑ์ที่น่าทึ่งต่อไปอีกยาวนาน

ความสำคัญของหุ้นกลุ่มธนาคาร จึงเป็นไปเช่นนี้

ไตรมาสนี้ นักวิเคราะห์พากันลงความเห็นอย่างระมัดระวังตัวอย่างมาก แม้จะยังมีคำแนะนำให้ “ซื้อ” ต่อไปก็ตาม

เหตุที่ยังต้องแนะให้ซื้อก็เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะหุ้นกลุ่มนี้มีราคาต่ำเกินไป ส่วนใหญ่ราคาต่ำว่าบุ๊กแวลูทั้งนั้น มียกเว้น ก็เช่น ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ TTB (ที่มีการควบรวมกันหมาด ๆ ยังไม่เข้าที่เข้าทางดีนัก)

หุ้นที่ราคาต่ำกว่าบุ๊กแวลู และอัตรากำไรสุทธิสูงอย่างนี้ ไม่ค่อยน่าผิดหวังในการเข้าซื้อและถือเอาไว้ เพราะราคาต้องวิ่งกลับไปหาระดับที่เกินกว่าบุ๊กทั้งนั้นแหละ

แถมราคาหุ้นกลุ่มนี้ก็มีให้เลือกหลากหลายเช่น LHFG ที่ระดับ 1 บาทเศษ ๆ จนถึงเกือบ 200 บาท อย่าง KBANK เรียกว่าซื้อหากันตามความชอบได้เลย ที่สำคัญ มีบทวิเคราะห์ช่วยตัดสินใจครบครัน

ไตรมาสนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า แม้ครึ่งแรกของปีจะมีมรสุมเยอะ ทำกำไรหดหายไปบ้าง แต่ความสามารถทำกำไรยังดีคงเดิม และในครึ่งหลังของปีนี้ยังจะมีโอกาส กําไรยังโตท่ามกลางแรงกดดันโควิด-19

หุ้นขวัญใจนักวิเคราะห์ครึ่งหลังปีนี้ เสียงเชียร์ยังคงเน้นหนักไปที่หุ้นที่มีช่องทางสร้างรายได้นอกตำราเก่า ๆ เช่น BBL และ KKP

BBL เป็นหุ้นกลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่ที่ถูกเลือก เพราะทิศทางของกำไรที่ยังเติบโตโดดเด่นในช่วงไตรมาส 2/2564 และยังเติบโตขึ้นได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งปี เนื่องมาจากไม่ต้องตั้งสำรองฯ มากเหมือนปีก่อนแล้ว และยังเป็นธนาคารที่มีการตั้งสำรองฯ ในระดับสูง และมองว่ากลุ่มลูกค้าของ BBL จะไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 มาก เพราะส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ที่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ ทำให้ไม่เป็นห่วงเรื่องของการเร่งตัวขึ้นของ NPL

อีกทั้งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาปรับลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อรายย่อยของธปท.จะไม่ส่งผลกระทบต่อ BBL อย่างมีนัยสำคัญ เพราะมีสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อรายย่อยที่ไม่มาก

ส่วน KKP หุ้นธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก ถูกเลือกจากราคาหุ้นที่ยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเท่ากับหรือต่ำกว่าบุ๊กแวลู (เทียบกับ TISCO ที่วิ่งขึ้นไปไกล) และเป็นหุ้นที่ยังมีการจ่ายเงินปันผลที่สูง อีกทั้ง KKP ยังได้รับปัจจัยหนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่โดดเด่นในปีนี้จากธุรกิจ ตลาดทุนที่มีความคึกคัก และมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก

แม้กลุ่มธนาคารจะมีผลการดำเนินงานและกำไรดี แต่ราคายังต้องระวัง หลังจากที่มีตัวแปรนอกเข้าเป็น “พระศุกร์เข้า”

ข่าวเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ที่นากยกรัฐมนตรีขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทบทวนอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ยกขบวนลบหรือซึมยาว ๆๆ จนส่งผลต่อวินโดว์เดรสซิ่งเมื่อสิ้นไตรมาสสอง

นักลงทุนสถาบันคาดหมายว่าธนาคารที่จะได้รับแรงกดดันเชิงลบมากสุดเรียงลำดับ ตามสัดส่วนสินเชื่อบุคคลมากสุด คือ ธนาคารกรุงไทย (KTB), ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)

ส่วนธนาคารที่มีสินเชื่อจำนำทะเบียนมากสุด คือ บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) ตามด้วย TTB

ผลกระทบเชิงลบนี้จะบรรเทาลง หาก ธปท. ลดเพดานดอกเบี้ยจริง หรือ ท้ายที่สุดแล้ว ธปท. จะต้องช่วยลดต้นทุนทางการเงินของกลุ่มธนาคาร โดยอาจยืดอายุมาตรการลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่ 0.23% ออกไปอีก 1 ปี

หากปัจจัยบวกเกิดขึ้น ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารจะกลับมาน่าสนใจดังเดิมโดยเฉพาะ BBL ที่แนะ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 155 บาท และ KBANK ให้ราคาเป้าหมาย 175 บาท

แต่หาก ธปท.ยังไม่มีข่าวดี ก็ถือเป็นพระเสาร์แทรก เลิกหวังได้เลย ..นักวิเคราะห์ไม่ได้พูด แต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจเช่นนี้…..

Back to top button