เปิด 26 หุ้นพุ่งแรงกว่า 20% เดือนพฤศจิกายน

แม้ว่าสถานการณ์ดัชนี SET Index เดือนพฤศจิกายนจะไม่สู้ดีนัก แต่ยังมีแรงซื้อเก็งกำไรเป็นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน


เส้นทางนักลงทุน

สถานการณ์ดัชนี SET Index เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาอยู่ในลักษณะอ่อนตัว ซึ่ง ณ วันที่ 30 พ.ย. 2564 ดัชนีปิดอยู่ที่ 1,568.69 จุด เทียบจากดัชนีปิดวันที่ 29 ต.ค. 2564 อยู่ที่ 1,623.43 จุด ลดลง 54.74 จุด หรือลงไป 3.37% เหตุการณ์เกิดขึ้นสืบเนื่องจากช่วงปลายเดือนเกิดแรงเทขายเพื่อลดความเสี่ยงจากประเด็นของโควิดสายพันธุ์ใหม่โอไมครอน และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงเป็นตัวกดดันภาพรวม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์ดัชนี SET Index เดือนพฤศจิกายนจะไม่สู้ดีนัก แต่ยังมีแรงซื้อเก็งกำไรเป็นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ทั้งนี้ข่าวหุ้นธุรกิจขอนำเสนอหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงชนะดัชนีในช่วงเดือนพฤศจิกายน (ปรับตัวขึ้นเกิน 20%) ได้แก่ HENG, BYD, SABUY, SVI, IT, PPPM, CPW, TVI, NEX, ACC, GIFT, TIPH, GJS, TBSP, WIN, SVOA, EA, MACO, M-CHAI, SYMC, JTS, MTI, SA, RS, JMT และ JMART

สำหรับหุ้นราคาปรับตัวขึ้นเปลี่ยนแปลงสูงสุด บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ HENG โดยเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2564 ราคาหุ้นอยู่ที่ 4.78 บาท เทียบกับวันที่ 29 ต.ค. 2564 ราคาหุ้นอยู่ที่ 2.82 บาท เพิ่มขึ้น  1.96 บาท หรือขึ้นไป 69.50% ซึ่งเป็นการรับอานิสงส์ต่อเนื่องหลังจากบริษัทโชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 พุ่ง สืบเนื่องจากการเติบโตดังกล่าวมาจากขีดความสามารถการให้บริการที่ดีขึ้นจากการให้บริการผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในท้องถิ่น

เนื่องจากบริษัทฯ ได้ลงทุนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 มีสาขารวม 489 สาขา จากเมื่อครึ่งปีแรกที่มีสาขา 451 สาขา ประกอบกับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่มุ่งขยายพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเพิ่มขึ้น ทำให้พอร์ตสินเชื่อดังกล่าวขยายตัว 42.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ช่วยสนับสนุนรายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น

สิ่งสำคัญมีมุมมองว่าภาพรวมการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะเติบโต รวมทั้งมุ่งเพิ่มสัดส่วนรายได้จากพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถซึ่งจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานให้แข็งแกร่งมากขึ้น หลังลูกค้าต้องการเงินทุนเพื่อนำไปประกอบอาชีพรับกับจังหวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว พร้อมกันนี้บริษัทฯ จะควบคุมคุณภาพพอร์ตสินเชื่อโดยรวมให้อยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การพิจารณาการปล่อยสินเชื่อที่มีความรัดกุม ทำให้บริษัทฯ คาดว่าจะควบคุมหนี้ NPLs ลดลงเหลือ 3.5% จากเดิมอยู่ที่ 3.7% ของพอร์ตสินเชื่อโดยรวม

นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อปี 2565 จะเพิ่มขึ้นเป็น 14,800 ล้านบาท จากสิ้นปีนี้คาดว่าจะเติบโต 28-30% มาที่ 11,500 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในระดับ 9,000 ล้านบาท หรือเติบโตราว 8-9% โดยการเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากแผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องราว 30-40 สาขา/ปี ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสาขา 451 สาขา โดยในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีสาขาประมาณ 830 สาขา รวมไปถึงบริษัทจะเน้นการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีอย่างต่อเนื่องด้วย

ถัดมา บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD โดยเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2564 ราคาหุ้นอยู่ที่ 13.80 บาท เทียบกับวันที่ 29 ต.ค. 2564 ราคาหุ้นอยู่ที่ 8.55 บาท เพิ่มขึ้น  5.25 บาท หรือขึ้นไป 61.40% ซึ่งเป็นการตอบรับกระแสรถ EV เนื่องจากบริษัท ไทยสมายล์บัส (TSB) ซึ่งเป็นบริษัทที่ BYD เข้าไปลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม ได้เริ่มนำรถบัสพลังงานไฟฟ้า 100% (E-Bus) ออกให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อพลิกโฉมรถโดยสารในระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ และปริมณฑลให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น รวมทั้งก้าวไปสู่การเป็นยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์รายแรกในประเทศไทยที่ทันสมัย สะอาด ปลอดภัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม ภายใต้สโลแกน “เดินทางด้วยรอยยิ้ม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม”

โดยปัจจุบัน TSB นำร่องให้บริการรถบัสไฟฟ้าสายแรกไปแล้วจำนวน 12 คัน และอยู่ระหว่างทยอยนำรถบัสไฟฟ้าเข้ามาใช้ในสายอื่น ๆ จนครบ 10 สาย รวมทั้งสิ้น 120 คันภายในต้นปี 2565 ซึ่งการนำรถบัสไฟฟ้า 100% มาทดแทนรถเดิมนอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างมากแล้ว ยังไม่เสียงดัง ไม่มีควันและมลพิษ ขับเคลื่อนได้อย่างนิ่มนวล จึงได้รับการตอบรับจากผู้โดยสารเป็นอย่างดี โดยกิจการเดินรถนี้จะทำให้บริษัทที่ BYD เข้าไปลงทุนจะมีรายได้ทั้งจากค่าโดยสาร และค่าโฆษณาทั้งด้านในและด้านนอกตัวรถอีกด้วย

ขณะที่ บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY โดยเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2564 ราคาหุ้นอยู่ที่ 16.70 บาท เทียบกับวันที่ 29 ต.ค. 2564 ราคาหุ้นอยู่ที่ 10.60 บาท เพิ่มขึ้น 6.10 บาท หรือขึ้นไป 57.55% ซึ่งเป็นการเข้าเก็งกำไรหลังจากบริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2564 อยู่ที่ 56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 149% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าที่คาด 20% จากรายได้ที่ดีกว่าคาด

พร้อมรับอานิสงส์สิ่งสำคัญ คือ การประกาศดีลทางธุรกิจ 6 ดีลที่สำคัญ เช่น บ.ร่วมทุนใหม่จะเข้าไปบริการตู้ ATM กดเงินสดหน้า 7-Eleven 1 หมื่นตู้ (สัญญา 10 ปี), ร่วมลงทุน FSMART เปลี่ยนจากคู่แข่งเป็น Partner, ลงทุน Shipsmile เพิ่ม 10% เป็น 48% เป็นต้น ทั้งนี้เชื่อว่าจะเข้ามาเสริมสร้างการเติบโตของผลประกอบการในปี 2565 เป็นสัดส่วนอย่างน้อย 10-20% ของภาพผลประกอบการ

อีกทั้งยังคงมีกลยุทธ์การขยายกิจการทั้งการขยายกิจการด้วยตัวเอง การร่วมลงทุน และการเข้าซื้อกิจการ เพื่อที่จะเสริมเข้ามาใน Ecosystem ของบริษัท โดยจะเริ่มเห็นความชัดเจนมากยิ่งขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565

โดยนอกเหนือจากหุ้นข้างต้นสามารถดูรายละเอียดของตัวเลขราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงจากตารางประกอบ

สรุปว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงล้วนมีปัจจัยบวกสนับสนุน จึงส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร!

Back to top button