พาราสาวะถี

สมแล้วที่ได้รับฉายาว่า “ว้ากซีน” สำหรับ อนุทิน ชาญวีรกูล เพราะล่าสุดกับการตอบคำถามของนักข่าวเรื่องความมั่นใจต่อการควบคุมสถานการณ์การระบาด


สมแล้วที่ได้รับฉายาจากสื่อประจำทำเนียบรัฐบาลว่า “ว้ากซีน” สำหรับ อนุทิน ชาญวีรกูล เพราะล่าสุดกับการตอบคำถามของนักข่าวเรื่องความมั่นใจต่อการควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน คำตอบที่ได้คือ “อยู่ที่ความร่วมมือของประชาชน เรามั่นใจว่าหากได้รับความร่วมมืออย่างไรแล้วเกิดหลุดออกมาบ้าง เรามั่นใจว่าดูแลเขาได้ แต่ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือก็ไม่มีใครมั่นใจอะไร” ถ้าเช่นนั้นจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและผู้บริหารไว้ทำสากกระเบืออะไร

ความจริงเรื่องนี้ก็บอกไว้ตั้งแต่ที่มีการประกาศว่าพบโควิดสายพันธุ์ดังว่าในประเทศไทยแล้ว ต้นตอมาจากการเปิดประเทศและการเข้าสู่ระบบไม่ต้องกักตัวหรือเทสต์ แอนด์ โก ถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งที่ผู้ติดเชื้อจะนำพาการระบาดไปได้ทุกที่ในประเทศไทย สุดท้ายก็เป็นอย่างที่ว่า ตัวเลขพุ่งกระฉูดจากหลักหน่วยสู่หลักสิบ และทะยานขึ้นเกินครึ่งพันภายในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์ หลังจากนี้ไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์จะเป็นอย่างไร

การที่ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขนำคณะตั้งโต๊ะแถลงประเด็นฉากทัศน์คาดการณ์สถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะจากโอมิครอนที่ว่าอยู่ในระดับ 3 ทั่วประเทศไทยนั้น หมายถึงว่าตัวเลขของการระบาดกำลังจะขยับเข้าสู่ช่วงวิกฤตเหมือนกรณีการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า เพียงแต่ว่าไม่สามารถที่จะประกาศให้เกิดการตื่นตูมในเวลานี้ เพราะมีเดิมพันเรื่องเทศกาลปีใหม่ที่รัฐบาลหวังจะให้เม็ดเงินสะพัดแล้วไปวัดดวงกันว่าจะเกิดคลัสเตอร์ใหญ่หรือไม่

จะเรียกว่าเอาความปลอดภัยของประชาชนเป็นเดิมพันก็ว่าได้ บนความเห็นของหมอการเมืองทั้งหลายที่มองว่าความรุนแรงของโอมิครอนไม่หนักหนาสาหัสเท่าเดลต้า ประกอบกับมีการฉีดวัคซีนจำนวนมาก จึงน่าจะคุมสถานการณ์ได้ หรือถ้าพบจำนวนผู้ติดเชื้อใกล้เคียงกันยังเชื่อว่าจะสามารถเอาอยู่ ไม่ต้องไปรอดูว่าหากคุมกันไม่ได้แล้วใครจะแสดงความรับผิดชอบ เพราะสปิริตไม่เคยมีจากผู้นำเผด็จการและขบวนการสืบทอดอำนาจ

ตอนนี้เห็นอยู่แล้วว่าตัวเลขของการพบผู้ติดเชื้อจากจุดตั้งต้นของคนที่เดินทางมาด้วยระบบเทสต์ แอนด์ โก นั้นหนักข้อขึ้นทุกวัน กรณีสองผัวเมียชาวกาฬสินธุ์ ไม่รู้ว่าตัวเลขจะไปหยุดที่เท่าไหร่ เพราะแค่เมืองน้ำดำจังหวัดเดียวจากสองคนเพิ่มเป็น 125 และรอผลยืนยันว่าจะเป็นโอมิครอนหรือไม่อีกเกือบร้อยราย และยังมีพบผู้ติดเชื้อที่เกี่ยวข้องข้ามจังหวัด ทั้งอุดรธานี ขอนแก่น และไปไกลถึงลำพูน ยังไม่นับรวมเคสอื่น ๆ งานนี้จึงบอกได้คำเดียว หลังปีใหม่ตัวเลขก้าวกระโดดอย่างแน่นอน

หลังจากเกรงใจเผด็จการด้วยการไม่ตั้งฉายามาเกือบ 7 ปี หลังจากที่มีรัฐบาลเลือกตั้งในคราบเผด็จการสืบทอดอำนาจ สื่อทำเนียบรัฐบาลก็ระดมสมองกลั่นกรองฉายามอบให้กับรัฐบาล ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและรัฐมนตรีร่วมคณะได้แสบสันเป็นอย่างยิ่ง ฉายารัฐบาล “ยื้อยุทธ์” กับฉายาประจำตัวท่านผู้นำ “ชำรุดยุทธ์โทรม” กับคำอธิบายที่ให้ไว้นั้นแจ่มแจ้งชัดแจ๋ว คนส่วนใหญ่พร้อมใจกันยกนิ้วให้ ทั้งหมดมันคือความเป็นจริงที่รู้อยู่แก่ใจกันเป็นอย่างดี

จากที่งอนนักข่าวอยู่แล้วอาจจะทำให้โมโหหนักเข้าไปอีก ช่วยไม่ได้ เมื่อประกาศเป็นนักการเมืองเรื่องเปลืองตัวเป็นของคู่กัน ยิ่งเป็นผู้นำประเทศเสียงวิจารณ์ย่อมมีมากกว่าคนอื่น ถ้าเปิดใจให้กว้างวางหัวโขนความเป็นคนดีที่ติ๊ต่างเอาเองว่าไม่มีใครมาเหนือกว่าข้าแล้ว ก็ย่อมจะมองเห็นหลากหลายปัญหาที่กองอยู่ตรงหน้า มีความสามารถในการแก้ไขให้คลี่คลายได้มากน้อยขนาดไหน หรือแค่กวาดซุกใต้พรม ปิดปากคนเห็นต่างด้วยกลไกกฎหมายและองค์กรที่วางกันไว้ทั้งหมด

ผลงานที่คุยโม้โอ้อวดก็แค่กระพี้ หาใช่แก่นสารสาระที่ว่าด้วยการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นไม่ สโลแกนที่ชูมากว่า 7 ปี มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ยังห่างไกลลิบลับ ขณะที่งานในสภาอุตส่าห์ใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัดกวาดต้อนนักเลือกตั้งให้มาเป็นพวกเพื่อก้าวพ้นเสียงปริ่มน้ำ แต่สุดท้ายการประชุมสภาล่มเป็นว่าเล่น จนได้ฉายาจากสื่อรัฐสภาว่า “สภาอับปาง” แม้ในมุมมองของนักข่าวที่เกาะติดสภาจะมองว่าฝ่ายค้านเอาแต่เล่นเกมจนเกินไป แต่หากถามถึงความรับผิดชอบในเรื่ององค์ประชุมต้องตอบกันให้ชัดว่าเป็นหน้าที่ใคร

ในเมื่อกุมเสียงข้างมาก หากส.ส.ซีกรัฐบาลไม่อ้างภารกิจส่วนตัวหรือมัวแต่ไปทำมาหากินอย่างอื่น การประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็มีวาระนัดหมายล่วงหน้าชัดเจน จึงไม่สมควรที่ใครจะมาอ้างเหตุผลใด ๆ แล้วไปดึงเอาฝ่ายค้านให้มาร่วมรับผิดชอบด้วย ในเมื่อกฎหมายสำคัญทั้งหลายที่เข้าสู่การพิจารณาและต้องการความเห็นชอบนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องของรัฐบาลทั้งสิ้น เพราะมีน้อยครั้งหรือแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ที่กฎหมายของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะร่างกฎหมายของภาคประชาชนจะได้รับความเห็นชอบจากซีกรัฐบาล

ไม่ต่างจากฝ่ายบริหารตามที่สื่อทำเนียบฯ ตั้งฉายาให้ ภาพของรัฐบาลที่ยื้อแย่งกันเองทั้งในส่วนของอำนาจและตำแหน่ง โดยไม่สนใจประชาชนและการเดินหน้าประเทศ ถูกมองว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม และมองการดำรงอยู่ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในฐานะผู้นำรัฐบาลจะเป็นประโยชน์มากกว่า จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อยื้อให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะมีการชุมนุมขับไล่ไสส่งอย่างไร ใครไม่อยู่ แต่ท่านผู้นำคนดีต้องอยู่

แต่การเมืองประเทศนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ยิ่งเป็นรัฐบาลแล้วไม่ได้มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน การแจกสารพัดแต่คนไม่มีความมั่นคง สถานะทางการเงินและการงานยังง่อนแง่น หรือการเน้นเอาใจเฉพาะบางกลุ่มเหมือนอย่างบางพรรคร่วมรัฐบาลทำ มันก็จะได้แค่เสียงชื่นชมกับผลประโยชน์ที่ได้รับเท่านั้น ขณะที่ภาพใหญ่ในการเอาชนะใจคนทั้งประเทศมันไม่เกิด ดังนั้นยามนี้สิ่งที่ผู้นำเผด็จการและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลตั้งหน้าตั้งตาทำร่วมกันมากที่สุดคือยื้อให้อยู่ได้นานเท่าที่จะนานได้ ถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองเสียก่อน ก็ค่อยไปยุบสภาเอาในวันที่คิดว่าสถานะของตัวเองเป็นรองฝ่ายตรงข้ามน้อยที่สุด แต่ยังไงก็ไม่มีวันอยู่ครบวาระ

Back to top button