พาราสาวะถี

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีคดีที่น่าสนใจได้รับการวินิจฉัยจาก 2 ศาล คดีแรกคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง วัฒนา เมืองสุข


เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีคดีที่น่าสนใจได้รับการวินิจฉัยจาก 2 ศาล คดีแรกคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง วัฒนา เมืองสุข อายุ 65 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และพวกรวม 14 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ. 2502 มาตรา 6 และ 11

หลังจากที่องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ใช้เวลาอ่านคำพิพากษานาน 2 ชั่วโมง ได้มีคำพิพากษาเเก้โทษริบทรัพย์โดยไม่ปรับบทตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 42, 43 แต่ให้ปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (2) ริบเงิน 89 ล้านบาท โดยให้วัฒนาพร้อมพวกมีหน้าที่ต้องส่งเงิน 89 ล้านบาท ที่ริบชำระเป็นเงินแทนตามมูลค่าของเงินที่ศาลสั่งริบภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษา

ขณะเดียวกัน ในส่วนคดีอาญาพิพากษายืนจำคุก 99 ปี และให้ออกหมายจำคุกถึงที่สุด เป็นผลให้เสี่ยไก่ต้องเดินเข้าคุกตามกระบวนการ อย่างไรก็ตามก่อนเข้าฟังคำพิพากษา วัฒนาให้สัมภาษณ์ยืนยันจะสู้ทุกวิถีทางรวมถึงการถวายฎีกาในฐานะพสกนิกร โดยย้ำว่าตนนอนหลับปกติ มั่นใจในการต่อสู้คดี แต่เตรียมใจไว้ 2 ด้าน และยอมรับคำพิพากษา หากไม่เป็นไปตามครรลองจะสู้คดีจนสุดทาง ถ้าเป็นโควิดเสียชีวิตก็ช่วยไม่ได้ และเชื่อมั่นว่าในคดีนี้เป็นเรื่องการเมืองล้านเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ฝ่ายกองแช่งก็เฮกันลั่นตามระเบียบ

อีกคดีเกิดที่ศาลปกครองสูงสุด เป็นข่าวดีสำหรับรัฐบาลสืบทอดอำนาจ โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรับคำฟ้องของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. ที่ยื่นเรื่องขอรื้อฟื้นคดีจ่ายค่าโง่โฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล้านบาท โดยศาลปกครองสูงสุดชี้ว่า คำวินิจฉัยศาลของศาลรัฐธรรมนูญปมนับระยะเวลาฟ้องคดีนั้น ทำให้ข้อกฎหมายที่ใช้ในการทำคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ ดังนั้นการยื่นพิจารณาคดีใหม่จึงชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อผลออกมาเช่นนี้ หมายความว่ารัฐบาลยังไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้บริษัท โฮปเวลล์ ประเทศไทย จำกัด และให้นำคดีนี้กลับมาพิจารณากันใหม่อีกครั้ง งานนี้ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รับความชอบไปเต็ม ๆ เพราะเป็นผู้เห็นช่องทางกฎหมายที่จะสามารถดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ ไม่ให้เงินแผ่นดินต้องเสียไปโดยไม่เป็นธรรม มีการย้ำว่ากระทรวงคมนาคมยุคนี้ต้องไม่เสียค่าโง่ ไม่จ่ายค่าโง่ให้ใครอีก จนกว่ากระบวนการทางศาลจะสิ้นสุดนำไปสู่การยื่นให้พิจารณาคดีค่าโง่โฮปเวลล์ใหม่

ย้อนความกลับไปดูผลของคำสั่งให้จ่ายค่าโง่ก่อนหน้านั้นก็คือ ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดง ที่ อ. 221-223/2562 ให้ยกคำร้องของกระทรวงคมนาคมและร.ฟ.ท. ที่ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการและบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าตอบแทนตามสัญญาสัมปทาน จำนวน 2,850,000 บาท คืนหนังสือค้ำประกัน และค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน จำนวน 38,749,800 บาท กับเงินที่บริษัท โฮปเวลล์ ประเทศไทย ใช้ในการก่อสร้างโครงการ จำนวน 9,000,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย

แต่กระทรวงคมนาคมและร.ฟ.ท.เห็นว่าประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย ในเรื่องของการนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี ถือเป็นหลักฐานใหม่ที่สามารถยื่นร้องให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่ได้ เพื่อที่อาจทำให้รัฐไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับบริษัทโฮปเวลล์ฯ จึงได้มีการยื่นฟ้องขอรื้อฟื้นคดีดังกล่าว เท่ากับไปเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาคดีกันอีกรอบ ซึ่งต้องใช้เวลา ซึ่งก็เหมือนกับที่คนไทยหรือคนกรุงเทพฯ ต้องทนหดหู่เห็นซากความอัปยศของตอม่อโครงการดังกล่าวประจานความล้มเหลวกันมาชั่วนาตาปี

ส่วนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและแก๊ง 3 ป. สร้างภาพโชว์ความหวานกันอีกรอบด้วยการนัดกินข้าวเที่ยงภายในมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ของพี่ใหญ่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน เหมือนเคยมีภาพชินตาคือการโอบกอดแสดงความรักและห่วงใยต่อกัน เป็นการตอกย้ำคำยืนยันที่ว่ามีแค่ความตายเท่านั้นที่จะมาพรากความรัก ความผูกพันของพี่น้อง 3 ป.ได้ แต่ภายในใจของทั้งสามคนยังกลมเกลียวกลมกลืนกันเหมือนเดิมหรือไม่เป็นเครื่องหมายคำถามตัวโต

เพราะหลังภาพความชื่นมื่นนั้น อย่าลืมเป็นอันขาดว่าประธานคณะกรรมการปฏิรูปสื่อที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเซ็นแต่งตั้งอย่าง เสรี วงศ์มณฑา เพิ่งออกมาเรียกร้องให้สมาชิกพรรคสืบทอดอำนาจที่ยกหางท่านผู้นำให้ไขก๊อกไปเข้าสังกัดพรรคที่ประกาศสนับสนุนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างชัดเจน เช่นนี้พี่ใหญ่จะไม่คิดมากหรือว่าน้องเล็กกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ จะมาบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อพรรคที่ตั้งขึ้นและคนที่ไปสังกัดก็ล้วนแต่เป็นบริวารที่ใกล้ชิดและสวามิภักดิ์ต่อท่านผู้นำทั้งสิ้น

ส่วนอีกด้านจากการที่เคยเป็นพรรคพลังดูด ก็กำลังถูกเพื่อนในรัฐบาลดูดคนของตัวเองไปหน้าตาเฉยกับข่าว 12 ส.ส.พรรคสืบทอดอำนาจเตรียมจะย้ายไปสังกัดพรรคเนื้อหอมอย่างภูมิใจไทย แม้จะยังไม่แสดงตัวหรือประกาศยอมรับ แต่การที่ปรากฏเป็นข่าวเช่นนี้ก็เท่ากับว่าไม่มีใจให้กับพรรคที่ได้ชื่อว่าเป็นแกนนำรัฐบาลอีกแล้ว นี่หรือเปล่าที่ทำให้คนที่มีข่าวว่ายก 260 เสียงมาการันตีเสถียรภาพให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ก่อนที่จะปฏิเสธภายหลังว่าไม่ได้พูดเช่นนั้น

เกมการเมืองเช่นนี้เท่ากับว่าทั้งท่านผู้นำและแก๊ง 3 ป.กำลังถูกต้อนให้จนมุม วนกลับไปเผชิญปัญหาเดิม “เสียงปริ่มน้ำ” ทำให้สถานการณ์การเมืองเมื่อการประชุมสภากลับมาเปิดกันอีกหนในเดือนพฤษภาคม ฝ่ายบริหารจะต้องลุ้นกันใจหายใจคว่ำ ถ้าอยากไปต่อก็ต้องลงทุนกันมหาศาล รวมถึงปรับครม.เพื่อต่อลมหายใจ หนักหนาสาหัสที่สุด จากที่ย้ำนักย้ำหนาไม่ยุบสภาอาจจะมาเร็วกว่าที่คาดเสียด้วยซ้ำไป

Back to top button