ต้องขนาดไหน…ถึงจะรู้ตัว

มันไหวหรือครับบ้านเมืองเราที่ยังต้องมีผู้นำยุค “เบบี้บูม” วัยใกล้โลง และความย้อนแย้งทั้งระหว่างคำพูดกับการกระทำ


ช่วงนี้ “กล้วยขายดี” นับวันพฤติกรรมรับเงินเพื่อแลกเป็นค่ายกมือก็โจ๋งครึ่มยิ่งขึ้นทุกที สนนราคา ลือกันว่าตกราว 2 ล้านบาท ไม่ทราบว่า จะเป็นราคาเหมารวมหรือรายหัวที่ถูกอภิปราย ซึ่งหากต้องจ่ายกันเป็นรายหัว พรรคเล็กที่รวมตัวกันในนาม “กลุ่ม 16” คงได้รวยกันปลิ้นแน่

เพราะจะได้รับกล้วยเป็นมูลค่าสูงถึง 22 ล้านบาทเลยทีเดียว จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรวมทั้งสิ้น 11 รมต.

ไม่น่าเชื่อเลยว่า พ.ศ.นี้แล้ว ระบบการแจกกล้วย “ซื้อโหวต” ที่หายไปนานมากแล้ว จากการที่พรรคการเมืองเข้มแข็ง ไม่ต้องพึ่งพาเสียงเบี้ยหัวแตกจากพรรคเล็กในสภา จะฟื้นคืนชีพกลับมาอีก

การอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ ต่อให้มีเนื้อหาหนักแน่นแค่ไหน ฝ่ายรัฐบาลก็คงชนะในการลงมติอยู่ดี เพียงแต่จะ “สง่างาม” หรือ “ไม่สง่างาม” เท่านั้น

พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้อยู่ครบเทอม 4 ปีแน่ หรืออาจยาวนานกว่านั้นก็ยังได้เลย ข้อที่ห่วงว่าจะถูกตีความเป็นนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี ไม่สามารถจะดำรงตำแหน่งต่อไปได้ ก็คงหายห่วงไร้กังวล

เพราะสมัยที่มีการตีความคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีเป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” หรือไม่ ก็ยังตีความดั้นเมฆ “ไม่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ” อันจะทำให้ขาดคุณสมบัติการรับตำแหน่งไปได้หน้าตาเฉยเลย

แต่สิ่งที่น่าห่วงที่สุดในตัวผู้นำท่านนี้ ก็คือ การมี “สติรู้” ในการจำแนกแยกแยะระหว่างคำพูดกับการกระทำ ที่พักหลังมักจะปรากฏพบเห็น “ความย้อนแย้ง” ในตัวเองอยู่เป็นประจำ

ยกตัวอย่างในเรื่อง “คำสอน” ของพล.อ.ประยุทธ์ในเรื่องของการประหยัดพลังงาน ผมขอถอดคำพูดเป็นคำจากการที่ท่านให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเลยนะครับ

“ผมขอเตือนประชาชนให้ช่วยรัฐบาลนิดนึงในการใช้พลังงานให้ประหยัด พอเพียงได้บ้างไหมในบางเรื่อง อะไรที่ประหยัดได้ก็ประหยัด อะไรที่ลดลงได้ก็ลดลง ในการใช้รถต่าง ๆ ก็ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ”

วลีวรรคทองที่ยกตนเป็นครูสอนก็คือ “ทุกคนก็ต้องคิดแบบผมคิดเนี่ย ผมก็คิดแบบนี้ ผมถึงอยู่มาได้ทุกวันนี้ เพราะผมมีอารมณ์ความมุ่งมั่นตรงนี้ของผม”

แต่เมื่อไปดูการตรวจราชการต่างจังหวัดของนายกรัฐมนตรีแต่ละที ขบวนคณะนายกฯ กลับยาวเฟื้อยเพิ่มขึ้นทุกที อาทิ การตรวจราชการจังหวัดกำแพงเพชรที่ผ่านมา มีรถขบวนนายกฯ และผู้ติดตามยาวเหยียด นับได้รวมถึง 28 คัน

ไปตรวจราชการจ.เชียงใหม่ ก็ใช้ตำรวจมาอารักขากันกว่า 2 พันนาย นี่ก็ยังไม่นับรวมเรื่องแจกรถเบนซ์เอส-คลาส 400-500 ไว้เป็น “รถควบคุมสั่งการ” ให้นายพลในกองทัพอีกนะ

นี่มันไม่ประหยัดและไม่พอเพียง ดังที่นายกฯ สอนประชาชนไว้หยก ๆ แล้วล่ะ

เมื่อคิดถึงว่านายกฯ ตั้งใจจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปอีก 4-5 ปี หรืออาจยาวนานไปกว่านั้นอีก ก็คงต้องมาทบทวนกันหนักถึงอนาคตลูกหลานภายใต้ผู้นำที่คำพูดกับการกระทำมี “ความย้อนแย้ง” โดยไม่ทราบสาเหตุกันแล้ว

ยิ่งบ้านเมืองเป็นประเทศที่พัฒนาช้า ขาดแคลนองค์ความรู้ในเรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันเป็นผลมาจากการจมปลักในระบบ “รัฐราชการรวมศูนย์” มานาน ก็ยิ่งน่าห่วงอนาคตลูกหลานจะมีชีวิตที่ดีงามกันต่อไปอย่างไร

เพราะนั่นหมายถึง “โอกาส” ของบ้านเมืองต้องสูญเสียไปอย่างมหาศาล

มันไหวหรือครับบ้านเมืองเราที่ยังต้องมีผู้นำยุค “เบบี้บูม” วัยใกล้โลง และความย้อนแย้งทั้งระหว่างคำพูดกับการกระทำ และอาจจะเป็นระหว่างความดีกับความชั่วด้วยซ้ำ

Back to top button