โนมูระมองต่างเครดิต สวิส แนะเก็บ ‘MINT’ ยาว

บล.โนมูระฯ มองว่าแม้ในระยะสั้นควรหลีกเลี่ยงการลงทุน MINT ชั่วคราว แต่มุมมองระยะยาวประเมินสถานการณ์ในยุโรปคลี่คลายมากขึ้น จึงเป็นโอกาสเข้าซื้อ


เส้นทางนักลงทุน

ในช่วง 4-5 วันทำการของสัปดาห์ก่อน คือ ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน จนถึงวันที่ 16 กันยายน หุ้นบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ถูกทิ้งดิ่งลงไป 9.83% ก่อนจะมาเริ่มฟื้นตัวได้ในสัปดาห์นี้ บวกกลับได้ 2.73% มายืนที่ 28.25 บาท

สาเหตุที่หุ้น MINT ถูกขายมาจาก “เครดิต สวิส” โบรกเกอร์ต่างชาติได้ปรับลดน้ำหนักลงทุน หรือดาวน์เกรด พร้อมทั้งลดราคาเป้าหมายจาก 39 บาท เหลือ 25.50 บาท เพราะมีความกังวลต่อเศรษฐกิจยุโรปชะลอตัว คนยุโรปกำลังเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นเพราะราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อกำลังซื้อ

ดังนั้นการใช้จ่ายในเรื่องของการท่องเที่ยวก็น่าจะชะลอลงด้วย และเมื่อมองไปใน 2-3 ไตรมาสข้างหน้า ยุโรปจะเป็นภูมิภาคหนึ่งที่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย MINT ซึ่งมีโรงแรมอยู่ในยุโรปย่อมจะต้องมีความเสี่ยง

ปัญหาราคาพลังงานถีบตัวขึ้นมาก ดันให้ตัวเลขเงินเฟ้อของยุโรปในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 9.1% เพราะราคาก๊าซในยุโรปแพงขึ้น 300%

MINT เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่ทำธุรกิจกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ มีรายได้มาจากทั้งในและนอกประเทศ

หากจำแนกแหล่งรายได้ ณ 6 เดือนแรกของปี 2565 MINT มีรายได้รวม 12,735 ล้านบาท เติบโต 23% จาก 10,354 ล้านบาท ในงวดเดียวกันปีก่อน เมื่อแบ่งเป็นสัดส่วนจะมาจากธุรกิจโรงแรมและอื่น ๆ 74%, ร้านอาหาร 24% และจัดจำหน่าย 2%

สิ้นไตรมาส 2 ปีนี้ MINT มีโรงแรมที่ลงทุนเองจำนวน 367 แห่ง มีโรงแรมและเซอร์วิสสวีทที่รับจ้างบริหารอีก 159 แห่ง ใน 56 ประเทศ มีจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 75,707 ห้อง ซึ่งเป็นห้องที่บริษัทลงทุนเองและเช่าบริการ 56,272 ห้อง

ส่วนห้องที่รับจ้างบริหารมี 19,435 ห้อง ภายใต้แบรนด์ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชัน, เอ็นเอช, นาว และ เอเลวาน่า คลอเลคชัน

ห้องพักส่วนใหญ่ 93% หรือ 70,487 ห้อง อยู่ในต่างประเทศ 55 ประเทศ ครอบคลุมทั่วทวีปเอเชีย โอเชียเนีย ยุโรป อเมริกา แอฟริกา ที่เหลือสัดส่วน 7% หรือ 5,220 ห้อง อยู่ในประเทศไทย

โรงแรมที่ลงทุนเองและเช่าบริหารมีอัตราการเข้าพัก 53% โรงแรมร่วมทุน 40% โรงแรมรับจ้างบริหาร 47% โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 54% ขณะที่ค่าห้องเฉลี่ยอยู่ที่ราว 4,720 บาทต่อคืน

จากข้อมูลนี้ต้องยอมรับว่า MINT มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมมากอยู่ และส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศมากกว่าในประเทศ หากไม่สามารถบริหารจัดการค่าพลังงานได้ก็จะได้รับผลกระทบตามที่เครดิต สวิสประเมิน

ด้านผู้บริหาร MINT ยืนยันว่าสามารถควบคุมต้นทุนและอัตรากำไรธุรกิจโรงแรมในยุโรปได้ รวมทั้งบริษัทยังได้ป้องกันความเสี่ยงด้านราคาพลังงานเพื่อลดผลกระทบดังกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ด้วยการล็อกราคาพลังงานในระดับคงที่ในช่วงระยะกลาง-ยาว

ต้นทุนพลังงานคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3-4% เมื่อเทียบกับรายได้รวมของบริษัท ซึ่งสามารถปรับเพิ่มราคาได้อีก จากที่ได้ปรับเพิ่มแล้วเมื่อปีก่อน ปัจจุบันอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยในยุโรปอยู่ที่ 140 ยูโรต่อห้อง

โดยคาดว่าในช่วง 2 เดือนข้างหน้า อัตราการเข้าพักเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเกินระดับ 70% จากขณะนี้ 60-70% รับอานิสงส์การท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นกลับมา การจัดงานอีเวนต์ ประชุมสัมมนาเพิ่มมากขึ้น

แม้ราคาพลังงานในยุโรปที่พุ่งขึ้นจะมีผลกระทบต่อ MINT จริง แต่ บล.โนมูระฯ มีมุมมองสวนทางกับเครดิต สวิส โดยระบุว่า ถึงจะยังคงมุมมองลบเล็กน้อย (Slightly negative) ต่อค่าไฟฟ้าในยุโรปที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ MINT มีรายได้รวมราว 50% มาจากยุโรป (70% ของรายได้โรงแรมมาจากยุโรปและรายได้โรงแรมเป็น 70% ของรายได้รวม) มีค่าไฟฟ้าคิดเป็น 4-5% ของต้นทุนรวม

แต่มองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อพื้นฐานในปี 2565 ยังจำกัด เนื่องจากมีการล็อกราคาและปริมาณการใช้ไฟฟ้าในปีนี้ไว้แล้ว ทำให้ความสามารถในการทำกำไรก่อนค่าใช้จ่าย ภาษี และค่าเสื่อม ยังเพิ่มขึ้นได้ 19.9% ในครึ่งปีแรกแม้ค่าไฟฟ้าจะสูงขึ้น อย่างไรก็ตามหากเหตุการณ์ดังกล่าวยังยืดเยื้อ จะกระทบต่อผลการดำเนินงานในปี 2566 เป็นต้นไป

เบื้องต้นผลกระทบต่อค่าไฟฟ้ายังเป็นดาวน์ไซด์ต่อกำไรปกติในปี 2566-2567 ราว -32% และ -16% มาที่ 4,012 ล้านบาท และ 7,052 ล้านบาท ตามลำดับ จึงมีดาวน์ไซด์ต่อราคาเป้าหมายในปีหน้า -15% มาที่ 37.50 บาทต่อหุ้น อ้างอิงหากค่าไฟฟ้าพุ่งขึ้น 100% และ 50% ในปีหน้าและปีถัดไป ตลอดจนเพิ่มขึ้น 5% ในระยะยาว

ส่วนปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจยุโรปถดถอยมีโอกาสกดดันกำลังซื้อและการท่องเที่ยวในประเทศนั้นได้ให้น้ำหนักไว้อยู่แล้ว จึงประเมินว่ารายได้จากยุโรปในปีหน้าจะเติบโตต่ำเพียง 3% รวมทั้งมองมีโอกาสเป็นไปได้ที่รัฐบาลยุโรปจะให้เงินช่วยเหลือประชาชนเพื่อชดเชยผลกระทบต่อกำลังซื้อ และกระตุ้นความต้องการที่ไม่ได้เที่ยวมาเป็นเวลานาน

บล.โนมูระฯ มองว่าแม้ในระยะสั้นควรหลีกเลี่ยงการลงทุน MINT ชั่วคราว แต่มุมมองในระยะยาวประเมินสถานการณ์ในยุโรปคลี่คลายมากขึ้น จึงเป็นโอกาสเข้า “ซื้อ” เพื่อการลงทุนระยะยาว หลังราคาหุ้นตอบรับปัจจัยลบค่อนข้างมาก ลดลงไป 22% จากจุดสูงสุดตั้งแต่ต้นปีนี้ และลงไป 17% ของไตรมาสนี้

ดังนั้น ราคาเป้าหมายในปีหน้าจึงยังคงมีอัพไซด์จากราคาปัจจุบันที่คิดเป็น P/E ปี 2567 ที่ 23.5 เท่า อยู่ที่ -0.5 S.D เทียบ P/E ย้อนหลัง 10 ปี สะท้อนมูลค่าที่ไม่แพง ให้ราคาเป้าหมายปีหน้า 44 บาท มีอัพไซด์ราว ๆ 55.7% ประเมิน MINT จะกลับไปใกล้เคียงระดับก่อนโควิดระบาดได้เป็นอันดับ 2 ของกลุ่มฯ

Back to top button