ฝรั่งซื้อ แต่วอลุ่มรวมหาย

วานนี้นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีกกว่า 4.1 พันล้านบาท ทำให้ซื้อต่อเนื่องมาแล้ว 8-9 วันทำการเกือบ 2 หมื่นล้านบาท


วานนี้นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีกกว่า 4.1 พันล้านบาท

ทำให้ซื้อต่อเนื่องมาแล้ว 8-9 วันทำการเกือบ 2 หมื่นล้านบาท

จากข้อมูลของนักวิเคราะห์ที่ทำออกมา

พบว่า หุ้นที่ต่างชาติเก็บเข้าพอร์ตจะอยู่ในกลุ่มที่อิงกับการบริโภคในประเทศเป็นหลัก หรือ กลุ่ม Domestic Play ที่อยู่ใน SET50 และมี SET100 บ้างบางหุ้น

เหตุผลเบื้องต้นของแรงซื้อจากฟันด์โฟลว์

ประเมินกันว่า ฝรั่งน่าจะมองว่า เฟดน่าจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบใช้ยาแรงแล้ว

หรืออย่างมากไม่น่าจะเกิน 0.75%

และอาจจะมีความเป็นไปได้ด้วยว่า จะลงมาเหลือเพียง 0.50% ในการประชุมครั้งต่อไป

แรงซื้อของฝรั่งที่มีมาต่อเนื่อง

ทำให้ช่วงเดือน ตุลาคม  2565 ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 8,649 ล้านบาท

และหากนับจากต้นปีมา ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2565

ต่างชาติซื้อสุทธิรวม 158,884 ล้านบาท

เมื่อย้อนกลับไปดูกราฟ SET และแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ

พบว่า ต่างชาติเริ่มเข้าซื้อจริง ๆ ในช่วงก่อนปลายปี 2564 หรือระดับดัชนีอยู่ประมาณ 1,550 จุด

ล่าสุดวานนี้ดัชนีปิด 1,608 จุด

จะเห็นว่า แม้จะมีแรงซื้อของต่างชาติเข้ามาต่อเนื่อง และค่อนข้างมาก

ทว่า ดัชนี SET ยังคงวนเวียนอยู่ระหว่าง 1,550–1,650 จุด

ขึ้น ๆ ลง ๆ สลับกันไปในแต่ละช่วง ตามเหตุการณ์ที่จะมีปัจจัยบวก และลบเข้ามาหนุน และกดดัน

นักวิเคราะห์มองว่า หากสถานการณ์เป็นไปตามที่ประเมินกันไว้ คือ เฟดชะลอการใช้ยาแรง เศรษฐกิจไทย ค่อย ๆ ฟื้นตัว

ต่างชาติน่าจะยังซื้อต่อเนื่องไปได้อีก

แต่ระหว่างทางอาจจะมีสลับขายทำกำไรออกมาบ้าง หากหุ้นนั้น ขึ้นมาแล้วใกล้เต็มมูลค่า

ส่วนนักลงทุนสถาบันที่มียอดขายสุทธิต่อเนื่อง

ในฝั่งของกองทุนเอง อ้างว่า ไม่ค่อยได้ขายออกมามากนัก

เพราะเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยล่าสุด ไม่ได้มีจำนวนมากขนาดนั้น

พร้อมกับกล่าวอ้างว่า น่าจะเป็นนักลงทุนสถาบันประเภทอื่น ๆ ที่มีการปรับพอร์ต ทยอยขายกันออกมามากกว่า

นับจากต้นปีมาจนถึงวานนี้ (31 ต.ค. )

นักลงทุนสถาบันขายสุทธิออกมา 140,152 ล้านบาท

ส่วนรายย่อยขาย 18,865 ล้านบาท

และพอร์ตของบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิเพียง 133 ล้านบาท

ดัชนี SET ที่ค่อย ๆ ปรับขึ้นและมายืนเหนือ 1,600 จุด เหมือนจะเป็นข่าวดี

แต่ไม่ถึงกับจะดีซะทีเดียว

เพราะสิ่งที่ยังกังวล และไถ่ถามกันเข้ามาคือ มูลค่าการซื้อขาย (Volume) ของตลาดหายไปไหน

เพราะในช่วงที่ตลาดหุ้นพีก ๆ

มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันพุ่งขึ้นมาถึง 8-9 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ตอนนี้ การซื้อขายมีวอลุ่มต่อวันเพียง 5-6 หมื่นล้านบาท หรือบางวันวูบลงไปเหลือเพียงกว่า 4 หมื่นล้านบาท

มีความเป็นไปได้ว่า นักลงทุนราย่อยอาจจะติดหุ้นกันอยู่ค่อนข้างมาก ในช่วงที่ดัชนีเคยขึ้นไป 1,670–1,700 จุด ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา

หรืออีกเหตุผลคือ “ความเชื่อมั่น” ที่ยังไม่น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีนัก

Back to top button