BBL กลับมาทวงแชมป์คืน

ใครที่เคยเชื่อว่ากำไรของธนาคารกรุงเทพจะไม่มีทางกลับมาโดดเด่นอีกแล้วเพราะว่ากลยุทธที่เน้นการตลาดแบบตั้งรับที่วงการธนาคารเรียกว่าอนุรักษนิยม


ก่อนหน้านี้ ใครที่เคยเชื่อว่ากำไรของธนาคารกรุงเทพ จำกัด ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ใหญ่อันดับหนึ่งในด้านสินทรัพย์ของไทย จะไม่มีทางกลับมาโดดเด่นอีกแล้วเพราะว่ากลยุทธ์ที่เน้นการตลาดแบบตั้งรับที่วงการธนาคารเรียกว่าอนุรักษนิยม นั่นคือการควบคุมคุณภาพของลูกหนี้ที่เข้มงวด และการตั้งสำรองของหนี้เน่าไว้ที่ค่อนข้างสูงมากกว่า 250%

แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีเพราะกำไรในสามไตรมาสปีนี้ของ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ก้าวกระโดดอย่างมากจนขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มธนาคารได้อีกครั้ง หลังจากเสียแชมป์ไปยาวนานให้กับธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย

ตัวเลขกำไรสุทธิรวม 9 เดือนที่ระดับ 3.2 หมื่นล้านบาทด้วยอัตราเติบโตมากกว่า 45% ของระยะเดียวกันกับปีก่อนด้วยอัตรากำไรสุทธิที่แม้จะไม่ได้มากมายเป็นสถิติใหม่เมื่อเทียบกับ 3-4 ปีก่อนซึ่งมีกำไรพิเศษเข้ามาหนุนช่วย แต่การที่ปีนี้กำไรสุทธิมาจากการดำเนินการล้วน ๆ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของผู้บริหาร

พอจะถือได้ว่าความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากกลยุทธ์เคาน์เตอร์แอทแทคที่ตรงกับเป้าหมายที่นักลงทุนชื่นชอบ

ถ้อยแถลงของนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ซึ่งปกติเป็นคนพูดน้อย กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากการที่รัฐบาลชุดใหม่ได้เร่งออกมาตรการและผลักดันนโยบายต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะทยอยเดินหน้า ซึ่งธนาคารมองเป็นโอกาสที่จะเข้าไปสนับสนุนสินเชื่อในส่วนนี้ให้กับภาคธุรกิจ

ทั้งนี้ ภาพรวมสินเชื่อของธนาคารยังคงเป้าหมายเติบโตปี 66 ไว้ที่ 4-6% ซึ่งยังคงมาจากสินเชื่อรายใหญ่ และสินเชื่อในต่างประเทศ โดยเฉพาะสินเชื่อที่มาจากธนาคารเพอร์มาตาในประเทศอินโดนีเซียที่ยังมีการเติบโตที่ดี โดยตั้งแต่สิ้นปี 65 มาถึงไตรมาส 3/66 สินเชื่อรวมของธนาคารขยายตัวไปได้แล้ว 1.5%

ด้านสัดส่วนหนี้ที่มิก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารมีแนวโน้มลดลงในไตรมาส 4/66 หลังจากคุณภาพของลูกหนี้ดีขึ้น เพราะเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีจากลูกค้าของธนาคารที่กลับมาชำระคืนหนี้ได้ตามปกติในจำนวนที่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 3/66 สัดส่วนหนี้ NPL ของธนาคารอยู่ที่ 3% ทำให้ธนาคารตั้งสำรองฯ ลดลงตามไปด้วย โดย Coverage ratio ของธนาคารยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 280% …  ก็ได้สะท้อนถึงความมั่นใจในกลยุทธ์ของธนาคารที่เน้นการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้ารายใหญ่มากกว่ารายย่อย

อัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้บุ๊กแวลูของธนาคารเพิ่มขึ้นจากระดับ 277 บาทเมื่อสิ้นสุดไตรมาสสอง ซึ่งสวนทางกับราคาหุ้นบนกระดานซื้อขายที่ระดับ 161 บาท และมีโอกาสต่ำลงไปถึงระดับ 155 บาทตามที่นักวิเคราะห์คาดไว้

ราคาหุ้นที่ต่ำในเวลานี้ พึงแนะนำให้ซื้อเก็บไว้เพื่อรอรับเงินปันผลและหรือหากำไรจากส่วนต่างของราคาหากสถานการณ์ของตลาดดีขึ้น

เพียงแต่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าซื้อแล้วจะกำไรมากหรือน้อยเพราะราคานี้เมื่อเทียบกับบุ๊กแวลู (P/BV) ที่ระดับ 0.59 เท่า ถือว่าต่ำเป็นประวัติการณ์

X
Back to top button