SCB ปล่อยสินเชื่อรอบคอบ

SCB โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 1. ธุรกิจขนาดใหญ่ 36.16% 2. ธุรกิจ SME 16.59% 3. สินเชื่อบุคคล 39.94%


คุณค่าบริษัท

บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 1. ธุรกิจขนาดใหญ่ 36.16% 2. ธุรกิจ SME 16.59% 3. สินเชื่อบุคคล 39.94% 4. สินเชื่อของบริษัทย่อย 7.32% ภายใต้สินเชื่อบุคคล 39.94% จำแนกต่อได้ดังนี้ 1. สินเชื่อเคหะ 32.07% 2. สินเชื่อเช่าซื้อ 5.99% 3. สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน 0.86% 4. สินเชื่ออื่น ๆ 1.01% ภายใต้สินเชื่อของบริษัทย่อย 7.32% จำแนกต่อได้ดังนี้ 1. บริษัท คาร์ด เอกซ์ 3.8% 2. บริษัท ออโต้ เอกซ์ 2.14% 3. บริษัทย่อยอื่น ๆ 1.37%

SCB รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 มีกำไรสุทธิ 12,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากไตรมาส 1/2567 และเติบโต 6.8% จากไตรมาส 4/2567 ที่มีกำไรสุทธิ 11,707 ล้านบาท กำไรไตรมาส 1 สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ 5.2% จากแรงหนุนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 4/2567 ซึ่งสูงกว่าที่คาด หลังรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจนายหน้าประกันภัยเติบโต 34.1% จากไตรมาส 4/2567 ซึ่งสามารถชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมส่วนอื่น ๆ ที่ชะลอตัว นอกจากนี้ ยังมีกำไรจากเงินลงทุนของ SCB 10X ที่เพิ่มขึ้น 40.2% จากไตรมาส 4/2567

ด้านค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง 8.4% จากไตรมาส 4/2567 เนื่องจากค่าใช้จ่ายตามฤดูกาลที่ลดลง และไม่มีค่าใช้จ่ายของ Purple Venture เหมือนกับปีก่อน ทำให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ลดลงเหลือเพียง 39.9% จาก 42.7% ในไตรมาส 4/2567 และ 42.1% ในไตรมาส 1/2567 สะท้อนการคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การตั้งสำรองลดลง 2.3% จากไตรมาส 4/2567 แม้จะมีการตั้งสำรองพิเศษ (Management Overlay) 700 ล้านบาท เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านมหภาค หลัง SCB สามารถคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะส่วนของ CardX ที่เคยมีปัญหาในปี 2567 เริ่มเห็นทิศทาง Credit Cost ที่ผ่อนคลายลง และยังเป็นผลจากการเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่เน้นกลุ่มความเสี่ยงต่ำมากขึ้น ส่วนลูกหนี้ Stage 2 ปรับขึ้นเป็น 8% จาก 7.7% ในไตรมาส 4/2567 โดยหลักมาจากลูกหนี้ของธุรกิจ Consumer Finance

SCB คาดว่าสินเชื่อรวมอาจเติบโตไม่ถึง 1-3% ในปี 2568 และเป้าหมายอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่ 3.6-3.8% น่าจะอยู่ใกล้ขอบล่าง เนื่องจากคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้งในปีนี้ นอกจากนี้ SCB คาดว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อาจลดลงได้เพื่อรองรับอัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อที่ลดลง ซึ่ง SCB จะพยายามบรรลุเป้าการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมที่ระดับ 2-4% ในปี 2568 โดยส่งเสริมธุรกิจจัดการความมั่งคั่งเพื่อชดเชยค่าธรรมเนียมด้านสินเชื่อ และธุรกิจประกันที่ลดลง นอกจากนี้ SCB ระบุว่ามีลูกค้าที่ไม่ใช่รายย่อยที่มีความเสี่ยงทางตรงจากการส่งออกของสหรัฐฯ อยู่ประมาณ 2 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 8% ของสินเชื่อรวม แต่กลุ่มอื่น ๆ อาจได้รับผลทางอ้อมจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง พร้อมประเมินว่า NIM อาจลดลงได้อีกราว 0.10%

ข้อมูลจาก LSEG Consensus สำหรับ SCB ระบุว่า ประมาณการรายได้รวมปี 2568 ที่ 168,133.26 ล้านบาท และประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 44,649.28 ล้านบาท โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 124.78 บาท จาก 16 โบรกเกอร์

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 ของ SCB จะเติบโตเมื่อเทียบไตรมาส 2/2567 เพราะค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลงหลังเสร็จสิ้นการขายหุ้นใน Purple Venture แล้ว และยังไม่มีแผนลงทุนใหม่ที่มีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ส่วนเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 คาดกำไรชะลอลงเล็กน้อย จากผลของ NIM ที่คาดจะปรับลงต่อ สอดรับกับดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง และการปรับลงของสินเชื่อรวม ส่วนทั้งปี 2568 คาดกำไรสุทธิที่ 45,435 ล้านบาท โต 3.4% จากปี 2567

สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) หุ้น SCB ราคาปัจจุบัน (ราคาปิดวันที่ 10 มิ.ย. 2568 ที่ 120.50 บาท) เทรดที่ P/E 8.98 เท่า สูงกว่า P/E กลุ่มธนาคาร ที่ 7.28 เท่า ส่วนค่า P/BV ของหุ้น SCB อยู่ที่ 0.81 เท่า สูงกว่า P/BV กลุ่มธนาคาร ที่ 0.63 เท่า

Back to top button