พาราสาวะถี

วันนี้ (7สิงหาคม) ต้องติดตามผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือจีบีซี ไทย-กัมพูชา ในระดับนโยบายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศจะหารือและลงนามในข้อตกลงร่วมกัน ที่ฝ่ายเลขานุการของทั้งสองประเทศได้มีการถกกันระหว่างวันที่ 4-6 สิงหาคมที่ผ่านมา ตามข่าวพบว่า มี บางประเด็นที่ทางฝ่ายเลขานุการของเขมรไม่สามารถตัดสินใจได้ ต้องส่งกลับไปให้ผู้มีอำนาจที่พนมเปญพิจารณาก่อน

เป็นเรื่องธรรมดาที่บางเรื่องฝ่ายปฏิบัติไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจ จำต้องส่งให้ฝ่ายบริหารดำเนินการ ในส่วนของประเทศไทย พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะผู้ที่จะต้องไปพูดคุยและลงนามในครั้งนี้ ได้มีการยกหูให้กำลังใจฝ่ายเลขานุการของไทย พร้อมชื่นชมในการทำงานอย่างหนักถึงวินาทีสุดท้ายของทีมไทยแลนด์ โดยหวังว่าสิ่งที่ได้ทำไปนั้นจะประสบความสำเร็จในการเจรจา เพื่อบรรลุผลและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ

ขณะเดียวกัน ช่วงเย็นวานนี้ได้มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. เพื่อรวบรวมข้อมูลจากที่ฝ่ายเลขานุการจีบีซีได้ไปประชุม แล้วสรุปข้อมูลทั้งหมดให้ที่ประชุม สมช.พิจารณา ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดการประชุมจีบีซีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศจะหารือกันในวันนี้นั้น จะเป็นไปในทิศทางที่ได้มีการตกลงร่วมกันไว้หรือไม่ อย่างที่บอก ท่วงทำนองของบิ๊กเล็กช่วงที่ผ่านมา สามารถยืนยันได้ว่า ไม่ยอมเสียเปรียบฝ่ายเขมรแน่นอน และบางเรื่องต้องใช้ความเด็ดขาดในการตัดสินใจ

คู่ขนานกันไปในความเข้มข้นของกองทัพที่วางกำลังเฝ้าระวังชายแดนบริเวณจุดเคยปะทะอย่างเข้มแข็ง เป็นเรื่องของการตรวจสอบโดรนที่พบว่ามีการบินกันให้ว่อนในหลายพื้นที่ ประเด็นที่หวั่นเกรงกันหนีไม่พ้นเรื่องการสอดแนมของฝ่ายข้าศึก เพราะแม้จะมีคำสั่งห้ามบินโดรนทั่วประเทศโดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคมนี้ แต่กลับพบว่ามีการฝ่าฝืนกันทุกวัน นั่นจึงเป็นเหตุให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลหลายด้าน ทั้งที่มาของโดรน และประสิทธิภาพในการต่อต้านของฝ่ายรัฐ

ข้อจำกัดด้วยเรื่องงบประมาณ และการถูกตรวจสอบอย่างหนักจากฝ่ายการเมืองที่ต่อต้านกองทัพ ทำให้การจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์สมัยใหม่อย่างโดรน และเครื่องต่อต้านโดรน ต้องถูกเตะสกัดไปด้วย นั่นจึงเป็นปัญหาในเวลานี้ที่พบว่า กระบวนการจัดการเพื่อที่จะป้องกันการสอดแนม ทำได้เท่าที่เครื่องไม้เครื่องมือจะอำนวย พอพบเจอปัญหาก็มีการพาดพิงไปถึงยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียอย่างจีนว่ามีการสนับสนุนโดรนให้กับทางฝั่งเขมร จนมีการนำมาใช้ก่อกวนประเทศไทยเวลานี้

เป็นเหตุให้ทางสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ต้องชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาที่ว่า จีนได้บริจาคโดรนให้กัมพูชาเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการชายแดน โดยระบุว่า จากการตรวจสอบพบข้อกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นเท็จ ภาพที่ใช้ในรายงานดังกล่าวถูกถ่ายในระหว่างงานสาธิตการบินที่จัดโดยบริษัท China National Aero-Technology Import & Export Corporation ในประเทศกัมพูชา เมื่อเดือนมกราคม 2567 ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ทั้งนี้ ทางฝ่ายจีนขอยืนยันว่า นับตั้งแต่เกิดความขัดแย้งตามแนวชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นมิตร จีนได้ดำเนินการอย่างแข็งขันเพื่อลดความตึงเครียดด้วยวิธีของตัวเอง จีนไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวใด ๆ ในเรื่องนี้ และสนับสนุนอาเซียนในการอำนวยความสะดวกในการยุติสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างทั้งสองประเทศผ่านแนวทางของอาเซียน รวมทั้งพร้อมที่จะรักษาการสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับประเทศในภูมิภาค ได้แก่ ไทย กัมพูชา และมาเลเซียต่อไป เพื่อมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการเสริมสร้างการหยุดยิงและฟื้นฟูสันติภาพและเสถียรภาพโดยเร็ว

คงปฏิเสธไม่ได้ในแง่ของความร่วมมือด่านต่าง ๆ ที่ทางการจีนได้ให้ความช่วยเหลือแก่กัมพูชาอย่างแข็งแรงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ตึงเครียดที่ก่อตัวขึ้น จนนำไปสู่การสู้รบแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา จีนได้รับรู้ถึงความไม่ปกติต่อการดำเนินการของสองพ่อลูกตัวแสบ ฮุน เซน-ฮุน มาเนต ประกอบกับการแปรพักตร์ไปสวามิภักด์ต่อสหรัฐอเมริกา นั่นจึงเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้จีนเลือกที่จะวางเฉยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกด้านก็มีความพยายามที่จะสั่งสอนจอมเจ้าเล่ห์ด้วยเช่นกัน

เรื่องท่าทีของชาติมหาอำนาจต่อเหตุการณ์ปะทะ ทางไทยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายความมั่นคงหรือฝ่ายบริหารไม่ได้มีความหนักใจ เนื่องจากได้มีการรวบรวมพยาน หลักฐานต่าง ๆ ส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการยื่นร้อง ชี้แจงต่อองค์กรระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่ที่เป็นปัญหาทำให้มองว่าไทยเสียเปรียบคือ การนำเสนอข่าวสารต่าง ๆ ทั้งสื่อกระแสหลักและโซเซียลมีเดีย ในห้วงที่เกิดสถานการณ์และหลังสถานการณ์หมาด ๆ มากกว่า

ด้วยเหตุที่อีกฝ่ายนำเสนอข่าวเท็จที่ปราศจากความจริงอย่างสิ้นเชิง เป็นการโกหกหน้าตาย แต่กลับมีการนำเสนอกันอย่างรวดเร็ว แพร่หลายผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ ในประเทศไทย จนทำให้เกิดความขัดแย้งกันเอง ดีที่ว่า หลังจากรู้เท่าทันจึงได้หันกลับมาร่วมมือไม่เพียงแต่ช่วยฝ่ายความมั่นคงและรัฐบาล ตอบโต้กัมพูชาเท่านั้น ยังมีคนอีกหลายกลุ่มที่ปั่นกระแส สร้างข่าวปลอมโจมตีผู้นำกัมพูชาที่แท้จริงอย่าง ฮุน เซน จนทำให้จากที่ดูท่าว่าจะเพี้ยน ยิ่งบ้าหนักเข้าไปใหญ่ จนการข่าวที่ให้โฆษกกลาโหมอย่างเจ๊มาลีแถลงนั้น เข้ารกเข้าพงไปใหญ่

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าแม้คนส่วนใหญ่จะเป็นกองหนุนให้ฝ่ายความมั่นคง และให้กำลังใจรัฐบาลในการต่อกรกับกัมพูชา แต่ก็ ยังมีขบวนการที่จะปั่นกระแสเพื่อล้มรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง เช่น เรื่องภาษีทรัมป์ที่ผ่านมา ที่มีการยกเอาประเด็นมะกันขอตั้งฐานทัพเรือที่พังงา การใช้ปมยกคำร้องเอาผิดนักวิชาการสหรัฐฯ กรณีมาตรา 112 รวมไปถึงเรื่องส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน แต่ปรากฎว่าเนื้อหาที่ผ่านการเจรจากระทั่งไทยได้ลดภาษีที่ 19% ไม่ได้มีข้อเรียกร้องเหล่านี้อยู่ในการเจรจาแม้แต่น้อย จึงเป็นสิ่งเตือนใจว่า การติดตามข่าวสารใดที่ไม่ได้ยืนยันต้นตออย่างตรงไปตรงมา พึงระวังไว้ว่า เป็นข่าวปล่อยที่หวังผลในทางลบ แน่นอน

อรชุน