บลจ.กรุงไทยส่งกองหนี้ต่างประเทศ3เดือนผลตอบแทน1.9%เสนอขาย25-31มี.ค.58

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 64 (KTFF64 ) เสนอขายในวันที่ 25-31 มีนาคม 2558 อายุโครงการ 3 เดือน


นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 64 (KTFF64 ) เสนอขายในวันที่ 25-31 มีนาคม 2558 อายุโครงการ 3 เดือน

โดยเน้นลงทุนตราสารต่างประเทศ ประมาณ 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ประเภทเงินฝากประจำ   China Construction Bank, Bank of China ,MTN ออกโดย Banco ABC (Brasil) และ MTN ออกโดย Banco BTG Pactual S.A.ส่วนที่เหลือลงทุนในตั๋วแลกเงินของบริษัทบัตรกรุงไทย ผลตอบแทนประมาณ 1.90% ต่อปี และอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายรอบใหม่ (Roll Over) ของกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 3 เดือน คุ้มครองเงินต้น1 (KTFIX3M1) เสนอขายถึงวันที่ 27 มีนาคม 2558 อายุโครงการ 3 เดือน เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 81% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากธนาคารทิสโก้ ผลตอบแทนประมาณ 1.60% ต่อปี

นอกจากนี้ หลังจากที่บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม นอร์ท เอเชีย อิควิตี้ 5% ทริกเกอร์ ฟันด์ (KTNA5) ในช่วงเดือนมกราคม บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนให้ถึงเป้าหมาย 5% โดยใช้ระยะเวลาในการบริหารประมาณ 2 เดือน ซึ่งถึงเป้าหมายก่อนครบอายุโครงการที่กำหนดไว้ 6 เดือน   โดยกองทุนจะสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนทั้งหมด ไปยังกองทุนเปิดกรุงไทยสะสมทรัพย์ ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถขายคืนได้ในวันที่ 30 มีนาคม 2558 เป็นต้นไป

ช่วงเวลาที่เปิดจำหน่ายกองทุน KTNA5 นับเป็นจังหวะการลงทุนที่ดี บริษัทเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุน สำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศในภูมิภาคเอเชียเหนือ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ซึ่งราคาหุ้นในภูมิภาคนี้ถือว่าค่อนข้างถูกในช่วงที่ผ่านมา โดยกลยุทธ์การลงทุนของบริษัทได้เน้นลงทุนในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นและจีน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นได้รับปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นมีมติผ่อนคลายทางการเงินต่อไปเมื่อวันที่ 17-18 ก.พ. ที่ผ่านมา และค่าเงินเยนยังมีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออกและทำให้บริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการเชิงบวกเพิ่มขึ้น

ในขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์จีนได้รับปัจจัยบวกจากธนาคารกลางจีน ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปี ลง 0.25% สู่ระดับ 5.35% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 1 ปี ลง 0.25% สู่ระดับ 2.50% ซึ่งมีผลตั้งแต่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้สภาพคล่องในตลาดเพิ่มสูงขึ้น และตลาดยังมีความคาดหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ จากการที่คณะรัฐมนตรีจีนได้ให้คำมั่นว่า เร่งยกระดับนโยบายการเงิน และคุมเข้มมาตรการบางด้านอย่างมีเป้าหมาย เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับแรงกดดันช่วงขาลง และทางรัฐบาลจะเพิ่มความพยายามในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยการเสนอลดหย่อนภาษีมากขึ้นสำหรับบริษัทขนาดย่อม และเพิ่มการลงทุนในโครงการเกี่ยวกับน้ำ ซึ่งปัจจัยต่างๆที่กล่าวมามีส่วนช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ พร้อมที่จะเสนอขายกองทุนในลักษณะดังกล่าวให้กับนักลงทุนอีก หากเห็นว่าสถานการณ์การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มประเทศนอร์ทเอเซีย เอื้ออำนวยหรือมีการปรับตัวลดลงเพื่อให้ผู้ลงทุนมีโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน

Back to top button