SMPC ศักยภาพทำกำไรแข็งแกร่ง-คำสั่งซื้อทะลัก ชู ROE สูงปรี๊ด!

SMPC กำไรปีนี้มีลุ้นทุบสถิติเดิม! ลุยเพิ่มกำลังผลิตรับคำสั่งซื้อทะลัก ชู ROE สูงปรี๊ด! โบรกฯ เชียร์ "ซื้อ" อัพเป้าใหม่ 20.60 บ.


SMPC กำไรปีนี้มีลุ้นทุบสถิติเดิม! ลุยเพิ่มกำลังผลิตรับคำสั่งซื้อทะลัก ชู ROE สูงปรี๊ด! โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” อัพเป้าใหม่ 20.60 บ.

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์ของบริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC หลังจากเห็นการปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรงในระหว่างวัน สวนภาวะตลาดที่สัปดาห์นี้ยังซบเซา ด้านมูลค่าการซื้อขายกลับมาคึกคัก ด้านกำไรปีนี้คาดว่าจะเติบโต 19% ขณะที่ปีหน้ายังเติบโตอีก 13% ผู้บริหารลุยเพิ่มกำลังผลิตรับคำสั่งซื้อที่ยังแข็งแกร่ง โบรกฯชู ROE (Return on Equity) หรือผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้นกว่า 43% อัพราคาเป้าใหม่ 20.60 บาท

ด้านราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 31 ม.ค.60 อยู่ที่ 16.90 บาท ปรับตัวขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.60% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 60.92 ล้านบาท

ทั้งนี้ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 20.60 บาท/หุ้น หลังมองยอดคำสั่งซื้อแข็งแรง โดย SMPC เริ่มต้นปี ด้วยกำลังการผลิตใหม่ที่ 7.2 ล้านใบ/ปี เพิ่มขึ้นอีก 16% จากปีก่อนหลังจากเพิ่งเพิ่มจาก 5.5 เป็น 6.2 ล้านใบเมื่อปี 58  ทิศทางเงินบาทที่อ่อนค่าลงและราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปัจจัยบวกที่เอื้อต่อธุรกิจ เพราะ SMPC ส่งออกเป็นหลักและราคาเหล็กที่แพงขึ้นจะเร่งให้ลูกค้าเพิ่มคำสั่งซื้อมากขึ้นอีก เพื่อมิให้ราคาขายสูงขึ้น จึงคาดว่ากำลังการผลิตยังสูงมากกว่า 90% ในไตรมาส 4/59 ซึ่งทำให้ยอดขายทั้งปีเกินกว่าเป้าที่ 5.4 ล้านใบ (เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน) หลังจาก ช่วง 9 เดือนแรกของปี 59 ทำได้ 76% ของเป้าหมาย

ทั้งนี้ SMPC ยังยืนยันเป้าหมายการเติบโต 15-20% ต่อปี ซึ่งยอดขายจะเพิ่มเป็น 6.5 และ 7.5 ล้านใบในปี 60-61 นั่นหมายถึง SMPC ต้องเพิ่มกำลังการผลิตอีกครั้งในปลายปีนี้ โดยได้เตรียมการไว้บ้างแล้วในการมองหาโรงงานแห่งใหม่ที่ต่างประเทศ เพื่อให้ที่ตั้งใกล้ลูกค้ามากขึ้น เพื่อลดเวลาการส่งมอบและลดภาษีนำเข้า

สำหรับภาพอุตสาหกรรมเป็นบวก ภาพรวมอุตสาหกรรมนี้ยังเป็นบวก เพราะยังมีช่องว่างของความต้องการบริโภคก๊าซ LPG ในประเทศแถบแอฟริกาและเอเชียใต้อีกมาก ตัวอย่างเช่นประเทศเคนยาเพิ่งประกาศแจกก๊าซ 5 ล้านใบแก่ประชากร ทำให้จะมีออเดอร์ถังบรรจุเพิ่มเติมอีก   ขณะที่การแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้เป็นไปอย่างจำกัด เพราะต้องอาศัยความชำนาญ และขนาดผลิตที่ใหญ่เพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด ที่ผ่านมาจึงมีเพียงผู้ผลิตรายเล็กๆ เข้าสู่ตลาดและเน้นการขายเฉพาะพื้นที่เป็นหลัก   มองว่า SMPC ในฐานะมีกำลังการผลิตเป็นอันดับ 1 ของโลกมีความได้เปรียบทางการแข่งขันสูงทั้งในเชิงการขยายที่รวดเร็วกว่าและต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำกว่า

ทั้งนี้คาดกำไรทั้งปี 59 เติบโต 25% จากปีก่อน คาดว่า SMPC จะทำสถิติสูงสุดใหม่ของยอดขายรายไตรมาสในไตรมาส 4/59 (เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน, เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน) เพราะปริมาณขายและราคาขายต่อใบที่เพิ่มขึ้น  ด้วยจุดเด่นของการปรับราคาขายได้เร็วตามราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ GPM ยังสูงใกล้ 30% อย่างไรก็ดี โดยปกติแล้วไตรมาสสุดท้าย SMPC จะมีค่าใช้จ่ายสูงเป็นพิเศษโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายพนักงาน ซึ่งคาดว่าเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนซึ่งเป็นแรงกดดันให้กำไรไตรมาส 4/59 ทำได้ที่ 136 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาสก่อน และลดลง 6% จากปีก่อนแต่ทั้งปียังเติบโตดี 25% จากปีก่อนเป็น 558 ล้านบาท

ทั้งนี้มองว่ากำไรเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ซึ่งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงและราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ราคาขายต่อใบปรับตัวสูงขึ้น เมื่อรวมกับการใช้กำลังการผลิตที่น่าสูงเกิน 90% จะช่วยให้รายได้การขายในปี 60 เติบโตดีกว่าปี 59 และดีกว่าปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น   ด้วย SMPC คือผู้นำในอุตสาหกรรมซึ่งได้เปรียบในเรื่องการปรับราคาขายที่รวดเร็ซและการประหยัดต่อขนาด ทำให้คาดว่า GPM จะยังดีต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้อัตรากำไรสุทธิสูงเด่นเกิน 15% และกำไรเติบโตได้ดีในปี 60-61 ในอัตราเพิ่มขึ้น 19% / เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนโดยคิดเป็นผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) ที่สูงมากถึง 43%

โดยแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 20.60 บาท ประเมินราคาพื้นฐานของ SMPC ที่ 20.6 บ. ด้วยวิธี GGM อิง P/B 6.8x โดยเหตุที่ใช้ P/B สูงแบบพรีเมียม เพราะ SMPC มี ROE ที่ดีมากราคาเป้าหมายเทียบเท่า FY60 P/E 16.4x ซึ่งต่ำกว่าการเติบโตของกำไรในปี 60 ที่คาดไว้ +19%YoY   นอกจากนั้น ด้วย IBD / Equity ที่ต่ำมากเพียง 0.2x ทำให้เราคาดว่า SMPC จะจ่ายเงินปันผลดีต่อเนื่อง ซึ่งคาด D/P 4.6%   แนะนำซื้อ

 

ขณะที่ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” SMPC ราคาเป้าหมาย 20 บาท/หุ้น คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/59 ยังดีต่อเนื่อง จากรายได้ที่คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยยังคงประเมินกำไรสุทธิปี 59 ที่ 563 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26%จากปีก่อน

ขณะที่ Outlook ปี 60 ยังสดใส และปรับคาดการณ์กำไรสุทธิขึ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/60 มีลุ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ ด้านโรงงานเดิมในประเทศยังสามารถขยายกำลังการผลิตใหม่ได้ต่อเนื่อง รวมถึงยังคงศึกษาแผนการขยายโรงงานใหม่ไปยังต่างประเทศ

ทั้งนี้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 60 ขึ้นเป็น 20 บาท จากเดิมที่ 17 บาท เนื่องจากเรามีการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 60 ขึ้น และมีการปรับการประเมินมูลค่าด้วย PER ขึ้นเป็น 15 เท่า จากเดิมที่ 14 เท่า จากอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงขึ้น ดังนั้น จาก upside ที่สูงขึ้น จึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อ จากเดิม ถือ โดยคาดว่าจะได้รับผลบวกจากแนวโน้มกำไรปี 2016 ที่เพิ่มขึ้นโดดเด่น และมีลุ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อในไตรมาส 1/60 ขณะที่ด้านฐานะการเงินค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยคาดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำเพียง 0.6 เท่า

 

นอกจากนี้ บล.เออีซี แนะนำ “ซื้อ” SMPC ราคาเป้าหมาย 19 บาท/หุ้น ไตรมาส 4/59 คาด SMPC จะมีค่าใช้จ่ายขายและบริหารเพิ่มขึ้น 23.5% จากปีก่อนจากค่าใช้จ่ายโบนัสที่สูงขึ้น แต่น่าจะถูกชดเชยได้ด้วย 1) ยอดขายที่คาดโต 7.4% จากปีก่อนหลังราคาเหล็กปรับขึ้น 34.8% จากปีก่อนหนุนให้ลูกค้าเร่งคำสั่งซื้อถังแก๊สมากขึ้น และ 2)  อัตรากำไรขั้นต้นที่คาดเพิ่มขึ้นจาก 29.1% ในช่วงไตรมาส 4/58 เป็น 31.8% หลังเกิดการประหยัดต่อขนาดมากขึ้น โดยช่วงไตรมาส 4/59 คาด SMPC มีอัตราการใช้กำลังผลิตเพิ่มเป็น 99% มากกว่าช่วงไตรมาส 4/58 ที่ 91% (เทียบกับกำลังการผลิตรวมที่ 1.55 ล้านใบ/ไตรมาส) หนุนให้คาดช่วงไตรมาส 4/59 SMPC มีกำไรสุทธิ 156.3 ล้านบาท เติบโต 7.8% จากปีก่อนและภายใต้ประมาณการใหม่คาด ปี 2559 SMPC จะมีกำไรสุทธิ 578.7 ล้านบาท เติบโต 29.4% จากปีก่อน

โดยการปรับเพิ่มประมาณการกำไรตั้งแต่ปี 2560 เพื่อสะท้อนปัจจัยบวกจากแนวโน้มขาขึ้นของราคาเหล็ก หนุนให้บริษัทได้รับประโยชน์ 2 อย่าง ได้แก่ 1) ปริมาณขายถังแก๊สเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าเร่งสั่งออเดอร์เนื่องจากกลัวราคาถังแก๊สแพงขึ้น และ 2) ราคาขายเฉลี่ยถังแก๊สเพิ่มขึ้น เพราะบริษัทมีนโยบายตั้งราคาด้วยวิธี Cost Plus (ราคาขาย=ต้นทุน+มาร์จิ้น) ดังนั้นเมื่อราคาวัตถุดิบเหล็กสูงขึ้น จะทำให้กำไรต่อถังแก๊สเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งปีนี้ SMPC ยังขยายกำลังผลิตถังแก๊สเพิ่มเป็น 7.2 ล้านใบ จาก ปี 2559 ที่ 6.2 ล้านใบ (แบ่งเป็นถัง 2 ส่วน 0.85 ล้านใบ และถัง 3 ส่วน 0.15 ล้านใบ) ดังนั้นภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2560 และปี 2561 SMPC จะมีกำไรสุทธิ 773 ล้านบาท และ 809 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยปีละ 18.2%

ทั้งนี้จากศักยภาพทำกำไรที่สดใส บวกกับมีแผนขยายกำลังการผลิตถังแก๊สในต่างประเทศ (ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาแผนธุรกิจ) อีกทั้งยังมี Upside 13.1% จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2560 ที่ 19.0 บาท โดยเราปรับเพิ่ม Multiplier อิง PER 13x (จากเดิม PER 12x) เพื่อให้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย PER ปัจจุบันของ SMPC อย่างไรก็ดียังคงยึดหลักอนุรักษ์นิยมเพราะคิดเป็น PEG ช่วง 2 ปีนี้ (ปี 2560-2561) เพียง 0.7x และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรช่วง 2H59 ที่หุ้นละ 0.36 บาท คิดเป็น Div. Yield 2.1% จึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ขาย” เป็น “ซื้อ”

Back to top button