สุดยอด 3 หุ้นวิ่งสู้ฟัด! ทุบสถิตินิวไฮต่อเนื่อง ลุ้นกำไร H2/60 โตแจ่ม

สุดยอด 3 หุ้นวิ่งสู้ฟัด! ทุบสถิตินิวไฮต่อเนื่อง ลุ้นกำไร H2/60 โตแจ่ม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG ปิดตลาดวันนี้ (25 ก.ย.) ราคาอยู่ที่ 19.30 บาท บวก 1.10 บาท หรือ 6.04% สูงสุดที่ 19.60 บาท ต่ำสุดที่ 18.20 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 1.03 พันล้านบาท

โดยราคาหุ้น BCPG ปรับตัวขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2559 ซึ่งคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทจะมีกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากรับรู้ส่วนแบ่งกำไรโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์ และโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย

ด้าน นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCPG เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนธุรกิจรูปแบบใหม่เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่ใกล้ชิดผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น จากการที่เทคโนโลยีใหม่ๆ ในยุคดิจิตอล (disruptive technology) จะพลิกโฉมธุรกิจพลังงาน ทำให้เกิดการขายไฟฟ้าผ่านอินเตอร์เน็ต (internet of energy) ในอนาคตอันใกล้นี้

“สำหรับการดำเนินงานในครึ่งหลังของปีนี้ จะมีปัจจัยบวกซึ่งจะช่วยทำให้ผลประกอบการดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์และโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย

นอกจากนี้ บริษัทมีการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ด้วยการจัดหาเงินกู้ที่ในสกุลเงินที่เหมาะสมกับการดำเนินงานในประเทศนั้นๆ เพื่อลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน” นายบัณฑิตกล่าว

ด้านบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2560-2561 ขึ้น 17.6-27.0% หลังรวมประมาณการโรงไฟฟ้าพลังลมและพลังงานความร้อนใต้พิภพเข้าไว้ในประมาณการ ราคาเป้าหมายปี 2561 เท่ากับ 15.7 บาท (จาก 13.9 บาท) จากการปรับสัดส่วนทุนเพิ่มขึ้นเป็น 40% จาก 30% และรวมทุกโครงการในประเทศญี่ปุ่นในประมาณการ (Best Case) ราคาหุ้นปรับตัวตอบสนองการซื้อกิจการไปแล้วในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ ได้ทำการรวมส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังลม Nabas Wind Farm และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ 3 โครงการ ได้แก่ Wayang Windu, Salak และ Darajat ไว้ในประมาณการ โดยฝ่ายวิจัยประเมินส่วนแบ่งกำไรจากโครงการดังกล่าว 327 และ 541 ล้านบาท ในปี 2560 และ 2561

ดังนั้นจึงปรับประมาณการกำไรสุทธิขึ้น 17.6-27.0% เป็น 2,180 ล้านบาท และ 2,544 ล้านบาท ในปี 2560-2561 ตามลำดับ ส่งผลให้ผลประกอบการปี 2560 และ 2561 คาดเติบโต 41.4% จากปีก่อน และ 17.7% จากปีก่อน ตามลำดับ

ทั้งนี้ โครงการ Nabas Wind Farm เป็นโรงไฟฟ้าพลังลมกำลังการผลิต 36 MW ตั้งอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ BCPG ถือสัดส่วน 40% ได้รับ FiT 7.4 เปโซ/kWh (5.4 บาท) สัญญา 20 ปี เปิดดำเนินงานวันที่ 10 มิ.ย. 2558 อยู่ระหว่างการพัฒนาและขออนุญาตโครงการในเฟสที่ 2 ขนาด 14 MW เราคาดส่วนแบ่งกำไรประมาณ 90 ล้านบาทต่อปี

 

ขณะที่ ราคาหุ้นบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ปิดตลาดวันนี้ (25 ก.ย.) ราคาอยู่ที่ 15.20 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 4.83% สูงสุดที่ 15.20 บาท ต่ำสุดที่ 14.40 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 1.08 พันล้านบาท

โดยราคาหุ้น BEAUTY ปรับตัวขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 โดยคาดว่ากำไรในไตรมาส 3/60 และไตรมาส 4/60 จะปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น จากการเปิดตัวสินค้าใหม่และนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัว อีกทั้งได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีอีกด้วย

ด้านบล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” BEAUTY โดยมองว่าแม้ BEAUTY มีฐานสูงในไตรมาส 3/59 แต่ยังคาด BEAUTY จะรายงานกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึงราว 35% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หนุนโดยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นมาก และยอดขายต่างประเทศเติบโตแรง

ทั้งนี้ การเติบโตในไตรมาส 4/60 จะยิ่งน่าตื่นเต้น หนุนโดยเทศกาลการจับจ่ายใช้สอยและของขวัญที่จะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพ.ย. กอปรกับมีฐานต่ำมากในไตรมาส 4/59 จากความต้องการซื้อที่ลดลงในช่วงไว้อาลัย และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาน้อยในปีที่แล้ว คาดกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 87% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 17% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ในไตรมาส 4/60 ซึ่งหมายความว่าจะเห็น BEAUTY จะทำกำไรจุดสูงสุดใหม่ในทุกไตรมาสที่เหลือของปีนี้

 

 

ส่วนราคาหุ้น บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ TKS ปิดตลาดวันนี้ (25 ก.ย.) อยู่ที่ระดับ 14.90 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 4.93% สูงสุด 14.90 บาท ต่ำสุด 14.30 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 142.01 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น TKS ปรับตัวขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 โดยคาดว่ากำไรในปีนี้อาจะทำสถิติสูงสุดใหม่ เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังเข้าสู่ High season ของธุรกิจ อีกทั้งบริษัทยังตุน Backlog แล้วราว 400 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายในช่วงครึ่งปีหลังทั้งหมด

ด้าน นายสมคิด เวคินวัฒนเศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ TKS เปิดเผยว่า กำไรสุทธิปีนี้มีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ เนื่องจากผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น เหตุความต้องการงานพิมพ์และงานอื่นๆขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้รับงานจากโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ 2 รายที่มอบหมายให้ TKS เป็นผู้จัดพิมพ์แสตมป์จำนวนหลานล้านดวงรองรับแคมเปญกระตุ้นตลาด ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯตุนงานในมือ (Backlog) แล้ว 400 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ทั้งหมดในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะเดียวกันบริษัทมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว และเมียนมา เพื่อรับงาน Printing and Solution ทั้งในส่วนของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและเอกชน ซึ่งมองการเติบโตของกลุ่มประเทศดังกล่าวยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่แม้การแข่งขันจะสูงก็ตาม โดยปัจจุบันบริษัทยื่นประมูลงานในกลุ่มดังกล่าว มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจะรู้ผลในช่วงไตรมาส 4/60 โดยได้รับงานก็คาดสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะขยับขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4-5%

นอกจากนี้ บริษัทยังมีส่วนแบ่งกำไรจาก บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 38.51% เข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งในปีนี้เป็นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม IT ที่ส่งผลให้ SYNEX เติบโตได้ค่อนข้างมาก โดยคาดว่าอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยทั้งปีของ TKS จะอยู่ในทิศทางเดียวกันกับครึ่งปีแรกที่ 24.76% สูงกว่าปีก่อนที่ 19.87%

ขณะที่ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” TKS ราคาเป้าหมาย 16 บาท/หุ้น โดยครึ่งปีหลังเข้า High season ของธุรกิจ และยังได้งานแสตมป์หนุน มี Backlog ราว 400 ลบ. ที่จะรับรู้ในครึ่งปีหลัง โดยได้รับแรงหนุนจากงานแสตมป์ร้านสะดวกซื้อที่ในปีก่อนพลาดงานดังกล่าวไป ในขณะที่ของโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ยังคงได้งานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมยังมีแนวโน้มเติบโต

อย่างไรก็ตาม รายได้ที่ลดลงในครึ่งปีแรกนั้น จึงได้ปรับลดการเติบโตของรายได้ลงจาก 8% เหลือ 4% เป็น 1,520 ลบ. และกำไรโตเล็กน้อย เพิ่มขึ้น 1.3% เป็น 341 ลบ. เพราะไม่มีกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ที่ 22.32 ลบ. เหมือนในไตรมาส 3/59

ส่วนปี 2561 ทิศทางดีขึ้นจากงานพิเศษคาดกำไร เพิ่มขึ้น 10.7%: ปี 2561 มีฟุตบอลโลก 2561 ซึ่งได้งานพิมพ์ไปรษณียบัตรทายผลมาตลอด, มีการยื่นประมูลงานที่ลาวมูลค่ากว่า 100 ลบ. จะรู้ผลไตรมาส 4/60 หากได้ก็จะบันทึกรายได้ในปี 2561, ขยายงานทางด้านบรรจุภัณฑ์มากขึ้นโดยจะลงทุน 200 ลบ. และหากมีเลือกตั้งอาจได้งานเพิ่ม คาดรายได้ เพิ่มขึ้น 8% และกำไร เพิ่มขึ้น 10.7% เป็น 379 ลบ.

 

Back to top button