ปี 58 หุ้น SAMART ทรุดเกิน 30%บ.ลูกฟอร์มแย่-กำไร Q1 หดทุกตัว

อึ้งกันเป็นแถบ! หลังหุ้น SAMART ปรับตัวลงเกินกว่า 30% นับจากช่วงต้นปี บวกกับบริษัทลูก SAMTEL-SIM-OTO ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โชว์ฟอร์มกำไรไม่ออกตามคำเล่าลือ ส่งผลให้สถานการณ์ของบริษัทแม่ดูแย่ลงในทันที


อึ้งกันเป็นแถบ! หลังหุ้น SAMART ปรับตัวลงเกินกว่า 30% นับจากช่วงต้นปี บวกกับบริษัทลูก SAMTEL-SIM-OTO ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ  โชว์ฟอร์มกำไรไม่ออกตามคำเล่าลือ ส่งผลให้สถานการณ์ของบริษัทแม่ดูแย่ลงในทันที

 

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้น บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART ระหว่างวันที่ 5 มกราคม 2558 ถึง วันที่ 13 พฤษภาคม 2558  พบว่า มีการปรับตัวลดจากระดับ 38.00 บาท ลงมาที่ระดับ 26.50 บาท หรือลดลงราว 30.26% ขณะเดียวกัน ยังได้ตรวจสอบพบว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2558  ของแต่ละบริษัทใน “กลุ่มสามารถ” ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีกำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557

โดยบริษัทลูกอย่าง บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ SAMTEL รายงานผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2558 มีกำไรสุทธิ 120.16 ล้านบาท หรือมีกำไร 0.19 บาทต่อหุ้น ลดลงประมาณ 42.91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 210.49 ล้านบาท หรือมีกำไร 0.34 บาทต่อหุ้น โดยสาเหตุที่ทำให้ผลกำไรสุทธิของบริษัทลดลง เนื่องจากรายได้จากการขายและการให้บริการปรับตัวลดลงกว่า 33.80%

ต่อมาคือ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM รายงานผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2558 มีกำไรสุทธิ 101.10 ล้านบาท หรือมีกำไร 0.02 บาทต่อหุ้น ลดลงประมาณ 48.61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 196.72 ล้านบาท หรือมีกำไร 0.05 บาทต่อหุ้น โดยสาเหตุที่ทำให้ผลกำไรสุทธิของบริษัทลดลง เนื่องจากภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยกดดันให้ยอดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัทมีจำนวนลดลง

บริษัทสุดท้ายคือ บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO รายงานผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2558 มีกำไรสุทธิ 16.30 ล้านบาท หรือมีกำไรราว 0.06 บาทต่อหุ้น ลดลงประมาณ 35.14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 25.13 ล้านบาท หรือมีกำไรราว 0.09 บาทต่อหุ้น โดยสาเหตุที่ทำให้ผลกำไรสุทธิของบริษัทลดลง เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการให้บริการงานด้านลูกค้าสัมพันธ์ รวมไปถึงการบริการงานด้านข้อมูลข่าวสารลดลง

 

การที่ทั้ง 3 บริษัทข้างต้น มีผลกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 1 ปีนี้ลดลง ถือเป็นสาเหตุหลักอันดับ 1 ที่ส่งผลให้ SAMART ซึ่งเป็นบริษัทแม่รับรู้กำไรในงวดดังกล่าวได้น้อยลงเช่นกัน เมื่อเทียบตามสัดส่วนของรายได้ทั้งหมด โดยบริษัทแม่ได้รายงานผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 273.16 ล้านบาท ลดลงกว่า 131.59 ล้านบาท หรือราว 32.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 404.75 บาท

ขณะที่ผลกระทบดังกล่าวกลายเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นของ SAMART อย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับผลประกอบการของบริษัทลูกทั้ง 3 แห่งคิดเป็นสัดส่วนได้ประมาณ 86.97% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทแม่ ย่อมทำให้เห็นว่า สถานการณ์ของบริษัทไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่ และอาจอ่อนตัวลงอีกเรื่อยๆ เพราะก่อนหน้านี้นักลงทุนคาดหวังว่าจะเห็นกำไรของหุ้นในเครือสามารถออกมาดีนั่นเอง

ด้านราคาหุ้น SAMART วานนี้ (13 พ.ค.) ปิดที่ระดับ 26.50 ปรับตัวขึ้น 1.25 บาท หรือประมาณ 4.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 266.98 ล้านบาท 

Back to top button