จับตาหุ้นแห่งปี(จอ)…GULF-AOT

หุ้นกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF ณ ราคา 67.75 บาท มี P/E หรือราคา/ผลกำไรต่อหุ้นในระดับสูงปรี๊ดที่ 62 เท่า ก็ถือว่ามีราคาแพงมากนะ


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

หุ้นกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF ณ ราคา 67.75 บาท มี P/E หรือราคา/ผลกำไรต่อหุ้นในระดับสูงปรี๊ดที่ 62 เท่า ก็ถือว่ามีราคาแพงมากนะ

ส่วนหุ้น AOT หรือ บริษัทท่าอากาศยานไทย ณ ราคา 70.50 บาท มี P/E ในระดับ 48 เท่า มีราคาตามมูลค่าบัญชีแค่ 9.20 บาท คิดตาม P/BV ในระดับกว่า 7 เท่า ก็ถือเป็นหุ้นราคาแพงเช่นกัน ตามหน้าเสื่อปัจจุบัน

แต่ความที่เป็นหุ้นใหญ่ และมีสตอรี่ดีต่อเนื่อง จึงจัดเป็น “หุ้น Growth Stocks” หรือหุ้นที่มีความเจริญเติบโตด้วย

P/E ที่เห็นในปัจจุบัน ถือว่าแพงก็จริง แต่เมื่อคิดถึง P/E ในอนาคตก็จะถูกลงมามาก เช่นที่นักวิเคราะห์รุ่นใหญ่อย่างคุณสุเชษฐ์ สุขแท้ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ วิเคราะห์หุ้น GULF เอาไว้

หากประเมินกำไรต่อหุ้น (EPS) ของ GULF ไว้ที่ 4 บาท ในปี 2560 และคิด P/E ที่ 15 เท่า ราคาหุ้น GULF ก็จะอยู่ที่ 60 บาท แต่หากในปี 2561 ประเมิน EPS ของกัลฟ์ฯไว้ที่ 6 บาท และค่าพี/อีที่ 15 เท่า ราคาหุ้นกัลฟ์ฯ ปี 2561 ก็จะเป็น 90 บาท

และหากในปี 2562 ประเมิน EPS กัลฟ์ฯไว้ที่ 8 บาท และคิดพี/อีที่ 15 เท่า ราคาหุ้นกัลฟ์ฯ ปี 2562 ก็จะอยู่ที่ 120 บาท/หุ้น

ครับสตอรี่ของกัลฟ์ เอ็นเนอร์จีฯไม่ธรรมดาเลย เปิดประเดิมต้นปีมาก็จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบให้กฟผ.และลูกค้าอุตสาหกรรมจำนวน 129 เมกะวัตต์ จากกำลังผลิตตามสัดส่วนถือหุ้นที่มีอยู่แล้ว 1,795 MW

โดยรวมในปี 2561 จะมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบทุกไตรมาส ไตรมาสละ 1 โรง กำลังการผลิตรวม 510 MW และปี 2562  ก็
จะมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบอีก 510 MW รวมในปี 2561-2562 จากนี้กัลฟ์ฯจะมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบที่เป็นส่วนของบริษัท 700-800 MW

ภายในปี 2562 กัลฟ์ฯจะมีกำลังผลิตที่เป็นส่วนของบริษัทประมาณ 2,600 MW และปี 2567 ประมาณการว่าจะมีกำลังผลิตส่วนของบริษัทที่ทำการ COD ในราว 5,918 MW

หุ้น GULF ที่คุณสุเชษฐ์ประเมินไว้ในปี 2560 ราคา 60 บาท จากราคา IPO 45 บาท บัดนี้ราคาก็ล่วงเลยมาแล้วเป็นเกือบ 70 บาท

ปี 2561 ประเมินเอาไว้ที่ราคา 90 บาท ก็น่าจะเอาไม่อยู่

ตัวเลข 3 หลัก ผมว่าน่าจะได้เห็นในปีนี้เอานา!

สำหรับหุ้น AOT เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนมาตั้งแต่ 21 มี.ค. 2547 ราคา IPO 42 บาท จากราคาพาร์ 10 บาท หากยังคงเป็นราคาก่อนแตกพาร์ (1 บาท) ราคาปัจจุบันแทนที่จะเป็น 70.50 บาท ก็คงจะเป็น 705 บาทไปแล้ว

ช่วง 14 ปีกว่า ราคาหุ้น AOT เพิ่มขึ้นถึง 1,685% และราคา 70.50 บาทที่แตกพาร์ลงมา 10 เท่าตัวในปัจจุบันก็ยังสูงกว่าราคา IPO เดิมตั้ง 67%

หุ้น AOT เป็นได้ทั้งหุ้น Defensive และ Growth Stock แน่นอน ดูได้จากอัตราการเติบโตของสนามบินต่างๆ ในความดูแลของ AOT นั่นปะไร

รายงานยอดผู้โดยสารล่าสุด ช่วง 11 เดือนแรกของปี 2560 สูงปรี๊ดกว่า 120 ล้านคน จาก “คะแพซิตี้” ของทั้ง 6 สนามบินรวมกันราว 101 ล้านคน/ปี เท่านั้น

นี่เอาแค่ตัวเลขจาก 11 เดือนก็ทะลุความสามารถในการรองรับได้ทั้งปีเข้าไปแล้ว!

ดูอย่าง สุวรรณภูมิ ซึ่งครั้งหนึ่งถูกตราหน้าว่าจะกลายเป็นเพียง “อนุสรณ์สถานแห่งความโกงครั้งมโหฬาร” ก็ได้ทำหน้าที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวไปแล้วถึง 55.24 ล้านคนในช่วงดังกล่าว จากคะแพซิตี้ 45 ล้านคน/ปี

หรืออย่าง ดอนเมือง ก็ต้อนรับไปแล้วถึง 34.78 ล้านคน จากที่ควรจะรองรับได้เพียง 30 ล้านคน/ปี เท่านั้น

ยกตัวอย่างแค่สนามบิน 2 แห่งนี้คงจะเพียงพอ ที่เหลือคือ ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ เชียงราย ไม่ต้องพูดถึงมาก! เพราะล้วนแล้วอยู่ในสภาพแออัดยัดทะนานแทบปริแตกด้วยกันทั้งนั้น

น่าคิดถึงสภาพวันนี้จะเป็นอย่างไร หากไม่มีการเร่งรัดให้สร้าง สุวรรณภูมิ จนเสร็จสิ้นในรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร รวมถึงการผลักดันให้นำ ดอนเมือง กลับมาเสริมกำลังการรองรับในสมัย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

AOT กลายเป็นหุ้นล้านล้านไปเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับเลื่อนชั้นเป็นหุ้นมีมาร์เก็ตแคปฯสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากปตท.ซึ่งครองแชมป์อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท

กระนั้นก็ตามที จากการเติบโตของผู้โดยสารในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. ปี 2560 ที่อัตรา 14% ตามการเปิดเผยของนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผนวกกับแผนการขยายสนามบินต่างๆ โดยเฉพาะ สุวรรณภูมิ เฟส 2 น่าจะบ่งชี้ถึงอนาคตได้เป็นอย่างดี

นั่นหมายถึง การเติบโตของจำนวนผู้โดยสาร ซึ่งเป็นปัจจัยนำมาซึ่งการเติบโตของรายได้ตลอดจนกำไรที่เหลือหลังหักต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว

แน่นอนครับ มูลค่าตามราคาตลาดของ AOT คงไม่จอดป้ายลงเพียงเท่านี้ แต่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วตามทฤษฎีที่ว่า “หาก AOT หยุดโตเมื่อใด นั่นหมายถึงประเทศชาติก็หยุดโตเมื่อนั้น”

ทฤษฎีข้างต้นสามารถใช้กับหุ้นตัวนี้ได้เสมอ ตราบใดที่หนึ่งในรายได้หลักของประเทศยังมาจากภาคการท่องเที่ยว

ผมขอถือโอกาสนี้ ยกหุ้นทั้ง 2 บริษัทคือ GULF และ AOT ขึ้นเป็นหุ้นน่าจับตามากที่สุดในปีจอ (ปีนี้) เลยแล้วกันครับ

Back to top button