ได้จังหวะเก็บ TISCO รอรับปันผลแจ่ม ลุ้นกำไรปี 61 โตต่อ

ได้จังหวะเก็บ TISCO รอรับปันผลแจ่ม ลุ้นกำไรปี 61 โตต่อ ด้าน โบรกฯ เคาะราคาเป้า 106 บาท/หุ้น อัพไซด์สูงปรี๊ด


สิ้นสุดลงแล้วสำหรับช่วงของการประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 60 ของบจ.ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มธนาคาร “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลบทวิเคราะห์ของบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO หลังจากเมื่อวันที่ 12 ม.ค.60 ธนาคารประกาศกำไรปี 60 เติบโตขึ้งถึง 22% มาที่ 6 พันล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 5 พันล้านบาท

โดยเป็นผลมาจาก การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลัก ประกอบกับค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่ลดลงจากปีก่อน รวมกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจสินเชื่อที่รับโอนจากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) หรือ SCBT

ทั้งนี้หลังจากธนาคารประกาศงบฯ ออกมา ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากระดับ 94.25 บาท เมื่อวันที่ 12 ม.ค.61 ส่วนสาเหตุที่ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลง คาดว่าเกิดจาก Sell on Fact หรือการที่นักลงทุนขายหุ้นออกมาเพื่อที่จะทำกำไรเมื่อข่าวดีได้ประกาศออกมาเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น นักวิเคราะห์ จึงมองว่า จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมา ส่งผลให้มีอัพไซด์เพิ่มขึ้นและเป็นจังหวะในการเข้าซื้อรอบใหม่ และคาดว่า TISCO จะจ่ายเงินปันผลปี 60 ราว 4 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield 4.4% นอกจากนี้ยังมองว่า แนวโน้มกำไรปี 61 จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับราคาหุ้นปิดตลาดวานนี้ (22 ม.ค.60) อยู่ที่ 90.25 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 0.84% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 311.67 ล้านบาท โดยยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 106 บาท อยู่ 17%

จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า ล่าสุด ณ วันที่ 19 ม.ค.61 TISCO มีค่า P/E อยู่ที่ 12.23 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มธนาคาร ซึ่งอยู่ที่ 12.93 เท่า และต่ำกว่า SET ซึ่งอยู่ที่19.76 เท่า ขณะที่ Dividend Yield อยู่ที่ 3.91%

โดย นักวิเคราะห์ บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” TISCO ให้ราคาเป้าหมาย 106 บาทต่อหุ้น อิง P/BV 2.15 เท่า เพื่อสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้นและการเติบโตหลังการรวมพอร์ต SCBT ซึ่งคาดว่า TISCO มีโอกาสเติบโตได้ในระดับ ROE ที่ 20% อีกอีครั้ง ทั้งนี้คาดปันผลปี 60 ที่ 4 บาท คิดเป็น Dividend Yield 4.4%

สำหรับกำไรปี 60 อยู่ที่ 6.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้นดีตามคาดและยังมีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานในอนาคตของ TISCO หลังการรวมพอร์ตของ SCBT ซึ่งคาดว่าจะส่งให้ความสามารถในการทำกำไรในอนาคตของ TISCO เพิ่มขึ้น สามารถดูได้จากผลการดำเนินงานไตรมาส 4/60 จะเห็นว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามขนาดของพอร์ตสินเชื่อที่ใหญ่ขึ้น ขณะที่ยังบริหาร cost of fund ได้ดี

ขณะเดียวกันประสิทธิภาพในการทำกำไรที่ดีขึ้นจาก cost to income ที่ลดลงสะท้อนให้เห็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าต้นทุนจากการควบรวม รวมทั้ง NPL ที่สามารถทรงตัวได้แสดงให้เห็นว่าคุณภาพสินทรัพย์ของ SCBT ที่รวมเข้ามานั้นไม่ได้มีผลกระทบต่อพอร์ตสินเชื่อของ TISCO เท่าไรนัก และจากนโยบายที่ conservative ธนาคารได้นำกำไรที่เพิ่มขึ้นมาเพิ่ม Provision เสริม LLR Coverage ให้แข็งแกร่งสำหรับรองรับ IFRS9 อีกด้วย

นอกจากนี้ยังคาดว่ากำไรสุทธิปี 61 ที่ 7.66 พันล้านบาท โต 26% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วน นักวิเคราะห์ บล.เอเอสแอล ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” TISCO ให้ราคาเป้าหมาย 105 บาทต่อหุ้น ทั้งจากการเติบโตในรายได้ดอกเบี้ยหลัง Synergy รวมพอร์ทจาก SCBT สำเร็จและรายได้ค่าธรรมเนียมตามสภาวะตลาดทุน ขณะที่การตั้งสำรองส่วนเกินที่สูงขึ้นในปลายปีที่แล้วจะช่วยลดแรงกดดันในการตั้งสำรองในปีนี้ได้ ทั้งนี้คาดว่า TISCO จะจ่ายเงินปันผลงวดปี FY17 ที่ 4 บาทต่อหุ้น Div. Yield 4.5% สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร

โดยมองว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/61 กำไรจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง ทั้งในส่วน NII ที่สินเชื่อจะกลับมาเติบโตตามสภาวะเศรษฐกิจและจากการโอนมาจากสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ ส่งผลให้มีฐานสินเชื่อที่ใหญ่ขึ้น Yield ปรับตัวขึ้น ขณะที่ไม่มีปัจจัยกดดันทางด้าน Cost of fund รวมถึง Non – NII ปรับตัวดีขึ้นตามสภาวะตลาดทุนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 61 จะอยู่ที่ 7.2 พันล้านบาท โต 18.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรับประมาณการขึ้น 11% โดยให้ Upside หลักมาจากการ Synergy รวมพอร์ตของ SCBT เข้ามา หากสำเร็จจะส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยขยายตัวขึ้นแม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะมี Base ที่สูงแล็วก็ตาม

ขณะที่ TISCO ตั้งใจจะโฟกัสพอร์ตสินเชื่อที่อยู่อาศัย และ Home-Equity loan ส่วนค่าธรรมเนียมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสภาวะตลาดทุนที่คึกคัก รวมถึงการลดการตั้งค่าใช้จ่ายสำรองลง

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TISCO ประกาศผลประกอบการเป็นไปตามคาด และแม้กำไรสุทธิปี 2560 จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ยังเห็น Sell on fact อย่างไรก็ตามราคาที่ลดลงแรงทำให้ Upside เปิดกว้างกว่า จึงเป็นจังหวะที่เข้าสะสมได้ เนื่องจาก Div. yield สูงถึง 6%

Back to top button