3 โบรกฯ ประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” PCSGH การันตีผลงานปี 61 โตไม่ยั้ง!

3 โบรกฯ ประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” PCSGH การันตีผลงานปี 61 โตไม่ยั้ง ตามอุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัวต่อเนื่อง พร้อมรับปัจจัยบวกเพียบ!


จากการสำรวจข้อมูลของ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” พบว่า นักวิเคราะห์จากหลากหลายสำนักมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของบริษัท พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ปโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PCSGH ตามอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังคงมีปัจจัยบวกที่จะช่วงส่งเสริมให้ผลงานในปี 61 เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

โดย นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” PCSGH ให้ราคาเป้าหมาย 13 บาทต่อหุ้น (รวมโครงการ EV 2 พันล้านบาท) โดยยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตในระยะยาวของ PCSGH

สำหรับปัจจัยบวกระยะสั้นอยู่ที่แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/61 ที่คาดโต 13% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนและ 19% เมื่อเทียบจากปีก่อนอยู่ที่ 180 ล้านบาท ส่วนระยะกลางคือ การเริ่มรับรู้รายได้จากโรงงานในยุโรปตั้งแต่ไตรมาส 2/61 ซึ่งผู้บริหารคาดว่าจะไม่ถ่วงธุรกิจเดิม และอาจไม่จำเป็นต้องกู้ยืมหรือเพิ่มทุน ขณะที่ภาพระยะยาวจะเริ่มชัดเจนขึ้น จากการได้รับคำสั่งซื้อชิ้นส่วนรถยนต์ EV เพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้นี้

ดังนั้น จึงยังคงคาดกำไรสุทธิปี 61 ที่ 790 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบจากปีก่อน ด้านระดับราคาหุ้นปัจจุบันมอง Downside จำกัด และช่วยลบมุมมองด้าน Valuation ที่ดูแพงกว่ากลุ่มมาตั้งแต่เข้าตลาด

ส่วนเงินทุนเพื่อใช้ในการปรับปรุงโรงงานที่ตั้งเป้าไม่เกิน 13.5 ล้านยูโร กระแสเงินสดปัจจุบันยังสามารถรองรับได้โดยไม่ต้องมีการกู้ยืมหรือเพิ่มทุน อย่างไรก็ตาม ยังไม่รวมกำไรโครงการนี้เข้าในประมาณการ จนกว่าจะเห็นการรับรู้รายได้และอัตรากำไรที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะเป็นไตรมาส 1/62

รวมทั้ง นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” PCSGH ให้ราคาเป้าหมาย 9.90 บาทต่อหุ้น โดยเชื่อว่ารายได้และผลประกอบการของ PCSGH จะเพิ่มขึ้นตามกลุ่มยานยนต์ในไทยที่ฟื้นตัว และการซื้อบริษัทของกลุ่ม Kuepper Group 4 แห่งในเยอรมันและฮังการี ทำให้รายได้จะทำจุดสูงสุดในไตรมาส 2/61 และในระยะยาวรายได้จะเพิ่มขึ้นจากการรับจ้างทำชิ้นส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มูลค่า 2 พันล้านบาท ที่จะเริ่มในปี 63

ทั้งนี้จากกรณีที่บอร์ดของ PCSGH ได้อนุมัติแผนในการเข้าลงทุนใน 4 บริษัทของ Kuepper Group มูลค่า 26 ล้านยูโร (1 พันล้านบาท) ในช่วงสิ้นปี 60 โดย PCSGH ไม่มีภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ย และมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง 1.2 พันล้านบาท ทำให้เชื่อว่ากระแสเงินสดภายในจะเพียงพอต่อการซื้อกิจการ และสามารถกู้เงินมาเพิ่มได้

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารจะมีการเพิ่มทุนใน 4 บริษัทดังกล่าวหลังการซื้อกิจการในไตรมาส 2/61 ทำให้คาดว่า อัตราการจ่ายเงินปันผลในปี 61 จะต่ำกว่าปีก่อนที่ 78.5%

ทั้งนี้ยังคงประมาณการปี 61-62 โดยรอดูผลของการซื้อกิจการในช่วงไตรมาส 2/61 ซึ่งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับปี 61-62 ไว้ที่ 20% และ 20.5% และใช้ SG&A ต่อยอดขายที่ 4.5% ในทั้ง 2 ปี นอกจากนี้คาดว่าผลประกอบการในปี 63 จะโต 20% เมื่อเทียบจากปีก่อนจากการเริ่มผลิตชิ้นส่วนอลูมิเนียมของรถยนต์ไฟฟ้ามูลค่า 2 พันล้านบาท

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” PCSGH ให้ราคาเป้าหมาย 9.50 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้จากการที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ฟืนตัวอย่างต่อเนื่อง จึงมองว่า PCSGH จะประกาศการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่ง 20% ในปี 61 และอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีในปี 61-63 อยู่ที่ 12% หนุนโดยยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่น่าตื่นตาตื่นใจ แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลดลง 16% ในปัจจุบัน หากกลับเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ เนื่องจากมีแนวโน้มอัพไซด์จากการเข้าซื้อกิจการของ Kpper Gruppe

นอกจากนี้คาดว่ายอดขาย PCSGH ปี 61 จะเติบโตอยู่ที่ 11% เนื่องจากในสองเดือนแรกยอดขายรถปิ๊กอัพขนาด 1 ตันจากทั่วประเทศเพิ่มเติบโตอยู่ที่ 15% เมื่อเทียบจากปีก่อน (ชิ้นส่วนสำหรับรถปิ๊กอัพขนาด 1 ตัน คิดเป็น 97% จากรายได้ของบริษัท) ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้ารายหลักยังออกโมเดลรถรุ่นใหม่ เช่น Ford’s Ranger Raptor และ Isuzu’s D-Max Blue Power

ทั้งนี้ PCSGH ยังได้รับคำสั่งซื้อในการผลิตรถยนต์ส่วนบุคคลและบิ๊กไบท์อย่างมาก และสิ้นส่วนนอกกลุ่มรถยนต์ โดยบริษัทได้รับคำสั่งซื้อใหม่มูลค่า 1,900 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมระยะเวลาสี่ถึงแปดปี สำหรับการผลิตรถรถปิ๊กอัพขนาด 1 ตัน, รถยนต์โดยสาร และสิ้นส่วนนอกกลุ่มรถยนต์ ซึ่งจะเริ่มเห็นการผลิตดังกล่าวในไตรมาส 1/61

โดย PCSGH เชื่อว่าการปรับการผลิตเพื่อรองรับรถยนต์ EV จะเป็นการเริ่มต้นการผลิตรถต์แบบ hybrids ทั้งนี้บริษัทได้ทำการซื้อสินทรัพย์จากบริษัท Kpper Gruppe ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิต turbocharger ซึ่งชิ้นส่วนดังกล่าวก็ยังคงติดตั้งในส่วนของเครื่องยนต์ hybrids ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริหารกล่าวว่าประเทศซึ่งพัฒนาแล้วบางประเทศเริ่มมีการห้ามการใช้รถยนต์ประเภท internal combustion engines บนถนน หรือเลิกการผลิตรถยนต์ประเภทดังกล่าวแล้ว ดังนั้นคำสั่งซื้อจะถูกโอนย้ายมายังประเทศที่ยังคงผลิตเครื่องยนต์ประเภทดังกล่าว รวมทั้งชิ้นส่วนด้วย

ทั้งนี้ PCSGH ยังได้ปรับประโยชน์จากสองส่วน ดังนี้ ส่วนแรกบริษัทจะได้รับคำสั่งซื้อมูลค่า 2,000 ล้านบาทจากการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ EV สองโมเดล (โดยรายได้ล๊อตแรกจะถูกบันทึกในปี 2563 ) ส่วนที่สอง คำสั่งซื้อของชิ้นส่วนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์ทั้งสองประเภท ได้แก่ประเภท internal combustion engines และ Hybrid

ดังนั้นจากยอดการผลิตที่เพิ่มขึ้น, ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นจากรถยนต์โดยสารส่วนบุคคล, รถจักรยานยนต์ และชิ้นส่วนที่ไม่ใช่รถยนต์ จะหนุนอัตรากำไรขั้นต้นจาก 19.6% ในปี 60 มาอยู่ที่ 21% ในปี 61 ยิ่งไปกว่านั้น PCSGH ยังลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานจากการติดแผงโซลาเซลบนหลังคาโรงงาน เพิ่มขึ้นจาก 5 เมกะวัตต์เป็น 7 เมกะวัตต์ในไตรมาส 2/61 และคาดอัตรากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นจาก 16.3% ในปี 60 มาอยู่ที่ 17.7% ในปี 61

ด้าน ราคาหุ้น PCSGH ปิดตลาดวานนี้ (28 มี.ค.) อยู่ที่ 7.05 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 0.71% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 8.33 ล้านบาท ทั้งนี้ยังคงมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายสูงสุด 13 บาท ที่ 84%

Back to top button