5 โบรกฯฟันธง! 27 หุ้นน่าสอยเดือนมิ.ย.รับ SET ฟื้นตัว-Fund Flow ไหลกลับ

5 โบรกฯฟันธง! 27 หุ้นน่าสอยเดือนมิ.ย.รับ SET ฟื้นตัว-Fund Flow ไหลกลับ เน้นเก็งกำไรหุ้น Domestic Play-แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/61 ดีต่อเนื่อง


เข้าสู่การลงทุนเดือนเมษายน “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุนพร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอโดยอาศัยบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ 5 แห่ง ประกอบด้วย บล.กรุงศรี,บล.เอเซีย พลัส,บล.คันทรี่ กรุ๊ป,บล.แอพเพิล เวลธ์,บล.ทิสโก้,

โดยนักวิเคราะห์ทั้ง 5 แห่งมองกลยุทธ์การลงทุนในเดือนนี้ว่า SET Index มีโอกาสฟื้นตัว แต่ช่วงต้นเดือนคาดดัชนีจะยังผันผวนและมีโอกาสปรับลงจากแรงขายปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติก่อนที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงวันที่13 มิ.ย.61 จากนั้นคาด Fund Flow จะค่อยๆไหลกลับ เงินลงทุนของนักลงทุนในประเทศจะเริ่มเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรงบไตรมาส 2/61 และเก็งกำไรหุ้นได้ประโยชน์จากฟุตบอลโลกคาดช่วยหนุนให้ดัชนีกลับมาฟื้นตัว

สำหรับกลุ่มหุ้นที่โบรกเกอร์แนะนำให้เป็นหุ้น Top pick เดือนมิ.ย.61  คือ BANPU,CPF,IVL,EPG,ANAN,SCC, BBL,CK,STEC,CPN,PCSGH,RATCH,ROJNA,TOA,TVO, UNIQ,AMATA,BLAND,GOLD,SAT,TKN, WHAUP,AEONTS,KBANK,MTC,BJC,CPALL ตามบทวิเคราะห์ดังนี้

 

บล.กรุงศรี  ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มเดือน มิ.ย.คาด SET Index มีโอกาสฟื้นตัว แต่ช่วงต้นเดือนคาดดัชนีจะยังผันผวนและมีโอกาสปรับลงจากแรงขายปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติก่อนที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงวันที่13 มิ.ย.61 จากนั้นคาด Fund Flow จะค่อยๆไหลกลับ เงินลงทุนของนักลงทุนในประเทศจะเริ่มเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรงบไตรมาส 2/61 ช่วยหนุนให้ดัชนีกลับมาฟื้นตัว

เบื้องต้นคาดกรอบดัชนีเดือน มิ.ย.อยู่ที่ระดับ 1,680-1,780  กลยุทธ์เดือนนี้ยังเน้นหุ้นที่ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดของปีมาแล้ว หุ้นที่มี factor บวกเฉพาะตัว อาทิ กลุ่มรับเหมา,หุ้นเข้า/ออก SET50/SET100 รอบใหม่ โดยมี Top pick คือ  BANPU CPF IVL EPG และ ANAN 

 

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เดือนมิ.ย.61ต่างชาติยังมีโอกาสขายหุ้นไทยต่อ โดยเมื่อวันที่ 1มิ.ย.61 MSCl มีการปรับน้ำหนักหุ้นเข้า-ออกในดัชนี ส่งผลให้มีแรงซื้อขายจากต่างชาติเข้ามาหนาแน่นในช่วงท้ายตลาด โดยภาพรวมแม้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 799 ล้านเหรียญ (หลังจากขายติดต่อกัน 3 วัน) แต่เป็นการซื้อสุทธิเพียงประเทศเดียว คือ เกาหลีใต้ซื้อสุทธิสูงถึง 1097 ล้านเหรียญ สาเหตุหนึ่งเกิดจากมีหุ้นถูกเข้าคำนวณในดัชนี MSCl Global Standard ถึง 5 บริษัท (สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย)

ส่วนตลาดหุ้นอีก 4 ประเทศถูกขายสุทธิ คือ อินโดนีเซีย 34 ล้านเหรียญ, ไต้หวัน 15 ล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 23 ล้านเหรียญ และไทยที่ต่างชาติยังขายสุทธิอีก 245 ล้านเหรียญ หรือ 7.86 พันล้านบาท (ขายสุทธิติดต่อกัน 9 วัน มีมูลค่ารวม 4.91 หมื่นล้านบาท) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 5.41 พันล้านบาท

สรุป Fund Flow เดือน พ.ค.61 หลากหลายปัจจัยภายนอกรุมเร้า ทั้งประเด็น ltalexit และ Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐฯที่พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 4 ปี กดดันให้ Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นทุกแห่งในภูมิภาคกว่า 4.5 พันล้านเหรียญ โดยเฉพาะไทยที่ถูกขายสุทธิมากที่สุด 1.62 พันล้านเหรียญ หรือ 5.18 หมื่นล้านบาท

ส่วนแนวโน้ม Fund Flow ในเดือน มิ.ย. ยังมีประเด็นกดดันจากการเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น ทั้งสหรัฐ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านเริ่มทยอยปรับดอกเบี้ยขึ้นในเดือน พ.ค. เช่น อินโดนีเซียขึ้นดอกเบี้ยแล้ว 2 ครั้ง และฟิลิปปินส์ 1 ครั้ง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากประเด็นสงครามการค้า และการขึ้นภาษีของสหรัฐ กดดันให้ Fund Flow มีโอกาสไหลออกจากตลาดหุ้นภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับสถิติย้อนหลัง 5 ปี ที่ต่างชาติมักขายสุทธิเฉลี่ยหุ้นไทยในเดือนนี้ราว 9.6 พันล้านบาท ส่งผลให้ SET Index ตลอดทั้งเดือนปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 0.15% เท่านั้น

กลยุทธ์เน้นหุ้น Domestic Play และกลุ่ม underperform ตลาด…ธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง Top picks SCC(FV@B600),BBL(FV@B220) และเพิ่ม BANPU([email protected]) ราคาหุ้น laggard เทียบกับหุ้นน้ำมัน

 

บล.แอพเพิล เวลธ์  ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ดัชนี SET เดือน มิ.ย.หากไม่สามารถยืนระดับ 1,730 จุด ก็มีโอกาสที่จะปรับฐานลงต่อที่ระดับ 1,680 -1,700 จุด แต่ความเสี่ยง Downside ของดัชนี SET น่าจะเริ่มลดลง  เนื่องจากได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีราว 9-10 % จากปีที่แล้ว โดยจะได้รับอานิสงส์แนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่คาดจะขยายตัวที่ระดับ 4.5% จากภาคส่งออก,การลงทุนภาครัฐและเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ที่มีแนวโน้มเติบโตดี

ขณะที่โรดแมพการเลือกตั้งใหม่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.62 จะช่วยหนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังกลับมาขยายตัวดี และนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสที่จะให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น  ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยในเดือน มิ.ย. 2561  มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,700 จุด แนวต้าน 1,750-1,770 จุด

ทั้งนี้ การที่ดัชนี SET เผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศในช่วงก่อนหน้า เนื่องจากมีปัจจัยความเสี่ยงค่าเงิน , อัตราดอกเบี้ยสหรัฐ รวมถึง MSCI ที่เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีน  ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงก่อนหน้านี้ปรับฐานลงเทรดที่ระดับ Forward P/E 15.8 เท่าซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังที่ 15.5 เท่า

กลยุทธ์ ในเดือน มิ.ย. หากดัชนี ฯ ยังไม่สามารถยืนเหนือระดับ 1,730 จุด ให้ระวังแรงขาย และรอซื้อที่ระดับ 1,680 -1,700 จุด แต่หากดัชนีฯสามารถยืนบริเวณ 1,730 จุดได้ ประเมินดัชนีจะ Sideway Up ไปทดสอบแนวต้าน บริเวณ 1,750 -1,770 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรหุ้นที่มีสัญญาณบวกทางโมเมนตัม เช่น CK , UNIQ , AMATA ,BLAND , GOLD , SAT , TKN , WHAUP

 

บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์เดือนมิ.ย.61 ว่า คาด SET Index แกว่งตัวไร้ทิศทางในกรอบ 1680 – 1760 จุด โดยช่วงต้นเดือนมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากปัจจัยเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งหลังการจ้างงานนอกภาคเกษตรออกมาเพิ่มขึ้นสูงถึง 2.23 แสนตำแหน่งมากกว่านักวิเคราะห์คาดที่ 1.89 แสนตำแหน่ง รวมถึงอัตราว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.8% ต่ำสุดในรอบ 18 ปี

อย่างไรก็ตามช่วงกลางเดือนอาจมีแรงขายทำกำไรก่อนการประชุมใหญ่ของเฟดวันที่ 12 – 13 มิ.ย. จากความวิตกการปรับขึ้นดอกเบี้ย ในกรณีที่ปรับขึ้นมากกว่า 0.25% หรือถ้อยแถลงสื่อว่าอาจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้งในปีนี้ตลาดจะสะท้อนเชิงลบ

นอกจากนี้ระวังแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานก่อนการประชุมโอเปกวันที่ 22-23 มิ.ย. หากมีการเพิ่มกำลังการผลิตอีกเกินกว่า 1 ล้านบาร์เรล/วัน หุ้นกลุ่มพลังงานจะสะท้อนเชิงลบ

กลยุทธ์การลงทุนสำหรับเดือน มิ.ย. แนะนำทยอยสะสมหุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่อาจปรับขึ้นเร็วกว่าคาดอาทิ กลุ่มการเงิน (AEONTS BBL KBANK MTC) หลังตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปประจำเดือน พ.ค. ออกมาที่ระดับ 1.49% สูงสุดในรอบ 16 เดือน และเข้าใกล้เป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 2.5% +/- 1.5% เก็งกำไรหุ้นได้ประโยชน์จากฟุตบอลโลก (BJC CPALL) และสะสมกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (CK STEC UNIQ) สนข.เตรียมทำแผนขยายรถไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 7 เส้นทาง ระยะทางกว่า 86 กม.

 

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) คาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในการประชุมวันที่ 12-13 มิ.ย.นี้ แต่มองไม่มีผลกระทบต่อตลาดในเชิงลบ เนื่องจาก (1) ตลาดซึมซับแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED เดือนนี้ไปแล้ว สังเกตได้จาก FED Funds Futures ที่ประเมินความเป็นไปได้ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนนี้เต็ม 100% และ (2) เส้นทางการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในอนาคต (Dot Plot) คาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากครั้งก่อนในการประชุมเดือนมี.ค.

เนื่องจากรายงานการประชุม FED ครั้งก่อนเมื่อวันที่ 1-2 พ.ค. ที่ผ่านมา FED ระบุว่าจะปล่อยให้เงินเฟ้อขยายตัวออกจากกรอบเป้าหมาย 2% เป็น “เวลาชั่วคราว” เพราะฉะนั้นจึงมองความชัดเจนของ Dot Plot ในการประชุม FED ช่วงกลางเดือนนี้จะกระตุ้นให้ตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัว

อย่างไรก็ดีมี 2 ปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่อาจกดดันหุ้นไทยยังมีความผันผวนตามหุ้นโลกอยู่ คือ (1) การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่กลับมาเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม หลังประธานาธิบดีทรัมป์ออกคำสั่งให้กระทรวงพาณิชย์ไปตรวจสอบการนำเข้ารถยนต์ เพื่อเตรียมออกมาตรการกีดกันการค้าเพิ่มเติม ทำให้สถานการณ์การค้าโลกตกอยู่ในภาวะเปราะบางอีกครั้ง และ (2) การเมืองในยุโรป โดยเฉพาะการเมืองในประเทศอิตาลี เพราะหากยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ในเร็ววันนี้ ก็อาจนำไปสู่การยุบสภา และทำให้การเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นเร็วสุดในวันที่ 29 ก.ค.

โดยพรรคซึ่งชูนโยบายต่อต้านสหภาพยุโรป ได้แก่ พรรค Five-star Movement และพรรค Lega มีแนวโน้มที่จะได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นและเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงในการแยกตัวของอิตาลีออกจากสหภาพยุโรป ในอีกกรณีหนึ่ง แม้ว่าอิตาลีจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมได้สำเร็จ แต่หากไม่ดำเนินนโยบายการคลังที่เข้มงวดพอที่จะลดจำนวนหนี้สาธารณะลง มูดี้ส์เล็งหั่นอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีลง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางการเงินของสหภาพยุโรป และอาจสร้างความกังวลต่อปัญหาหนี้สินยุโรประลอกใหม่

ด้านปัจจัยในประเทศ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงปลายเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาถือเป็นกรณีดีที่เรามองไว้ ทำให้การเลือกตั้งกลับเข้าสู่ตามแผนโรดแมปที่คสช.วางไว้ ด้วยร่างพ.ร.ป.ทั้ง 2 ฉบับ คือ ที่มา ส.ว. และการเลือกตั้ง ส.ส. มีความล่าช้าจากกำหนดการเดิมที่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ในช่วงเดือน มี.ค. – เม.ย. เป็นเดือน มิ.ย.

ดังนั้น มองพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.น่าจะสามารถกำหนดวันเลือกตั้งได้ภายในช่วงเดือน ก.ย. ปีนี้ หลังจากที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้กฎหมายเลือกตั้งครบทั้ง 4 ฉบับแล้ว โดยการเลือกตั้งจริงคาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างช้าสุดภายในเดือน พ.ค. ปีหน้า

โดยสรุป ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมามองตลาดหุ้นไทยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปแล้ว ทั้งแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของ Bond Yield, การปรับตัวลงอย่างรวดเร็วของราคาน้ำมัน, ผลกระทบจากการนำหุ้น A-Shares ของจีนเข้าคำนวณดัชนี MSCI และกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลออก

แม้ยังความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกที่อาจกดดันตลาดอยู่ หลัก ๆ จาก (1) ข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และ (2) ปัญหาการเมืองในยุโรป แต่มองหุ้นไทยในช่วง 1-2 เดือนข้างนี้เริ่มน่าสนใจต่อการทยอยสะสมเพื่อการลงทุนแล้วจากปัจจัยในประเทศที่แข็งแกร่ง น่าจะทำให้หุ้นไทยฉีกตัวออกจากอิทธิพลหุ้นต่างประเทศได้มากขึ้น ทั้งตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังเติบโตดี (ในเดือน มิ.ย. นี้ ธปท.เตรียมปรับเป้า GDP ขึ้น), การประกาศใช้ พ.ร.บ. EEC ซึ่งจะกระตุ้นวงจรการลงทุนรอบใหม่ และความชัดเจนทางการเมืองหลังผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมาในเชิงบวก

มอง 3 ธีมหุ้นเด่นในเดือนนี้ คือ(1) หุ้นที่ได้ประโยชน์ EEC และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐเร่งตัวขึ้น ชอบ CK, ROJNA (2) หุ้นคาดเข้า SET50 Index ชอบ TOA, RATCH และ (3) หุ้นที่ราคาพักฐานลงมาแล้ว แนวโน้มกำไรไตรมาส2/61 ดีต่อเนื่อง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ชอบ CPN, PCSGH, TVO

ส่งผลให้หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือน มิ.ย. คือ CK, CPN, PCSGH, RATCH, ROJNA, TOA, TVO ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1710, 1680-1690 และ 1745-50, 1760 จุด ตามลำดับ

Back to top button