BH คาดไตรมาส 2/58 จะยังคงแข็งแกร่งแต่ระยะยาวคาด EPS โตปานกลางแนะถือ

BH ราคาหุ้นเติบโตโดดเด่นกว่าหุ้นโรงพยาบาลอื่นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากมีกำไรเติบโตแข็งแกร่งใน ไตรมาส1/58 จากการมีสัดส่วนของผู้ป่วยต่างชาติที่สูงในช่วงเศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอ คาดไตรมาส 2/58 จะยังคงแข็งแกร่ง แต่ในระยะยาว คาด EPS จะเติบโตปานกลางที่ 11% ต่อปีในช่วงปี 58-60 เทียบกับการซื้อขายที่ PE ที่ 38.2 เท่า แนะนำ "ถือ"


บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (5 มิ.ย.) ว่าบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BH ประการแรก เช่นเดียวกับช่วง ไตรมาส1/58 เราคาดว่ากำไรจะเติบโตต่อเนื่อง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนใน ไตรมาส2/58 เนื่องจากฐานที่ต่ำใน ไตรมาส1/57 ซึ่งเป็นเพราะความวุ่นวายทางการเมืองอันเป็นสาเหตุให้มีผู้ป่วยในชาวต่างชาติลดลง 3% และผู้ป่วยนอกชาวต่างชาติลดลง 6% ประการที่สอง ผู้ป่วยชาวต่างชาติที่แข็งแกร่งน่าจะยังคงมีน้ำหนักมากกว่าจำนวนผู้ป่วยชาวไทยที่ลดลง การมีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติที่สูงที่สุดของ BH ที่ 65% ของรายได้รวมใน ไตรมาส1/58เทียบกับโรงพยาบาลอื่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ BH outperformance โรงพยาบาลอื่น เราคาดว่าผู้ป่วยในชาวต่างชาติของ BH จะเติบโต 12% ในปี 2015F (เทียบกับผู้ป่วยชาวไทยที่ -2.5%) และผู้ป่วยนอกชาวต่างชาติเติบโต 13% (เทียบกับผู้ป่วยชาวไทยที่ -1.5%) 

แม้จะซื้อหุ้น 40% ใน UB Songdo ในมองโกเลียในไตรมาส1/57 และมีแผนที่จะมีโรงพยาบาลแห่งที่สองบนถนนเพชรบุรี แต่เรายังคงมองว่า BH เป็น บริษัทที่มีลักษณะอนุรักษ์นิยมอย่างมาก และยังคงมุ่งเน้นที่จะรักษาระดับ ROE ที่สูง ด้วยการขยายธุรกิจที่ช้า แบรนด์เป็นที่รู้จักอย่างดี ให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง และมีตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในตลาดระดับพรีเมี่ยม เราจึงคาดว่า ROE จะเพิ่มขึ้นเป็น 28-29% ในช่วงสองปีข้างหน้า ซึ่งมีปัจจัยหลักผลักดันจากอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากการประหยัดจากขนาด ค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น และมีการรักษาโรคที่มีความรุนแรงมากขึ้น 

คาดอัตราการเติบโตของกำไรของ BH จะกลับมาอยู่ในระดับปกติที่ 12% ในปี 2016F และคาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ลดลงเป็น 9% ในปี 60 เนื่องจากค่าใช้จ่ายก่อนดำเนินงานจากโรงพยาบาลแห่งที่สองบนถนนเพชรบุรี ซึ่งมีกำหนดการที่จะเปิดให้บริการในต้นปี 2018 (เป็นโรงพยาบาลขนาด 200-240 เตียง คิดเป็นราว 35-42% ของที่แรกที่มีขนาด 565 เตียง) คาดโรงพยาบาลใหม่จะมีผลขาดทุนในช่วงสองปีแรกของการดำเนินงาน ซึ่งเราได้รวมไว้ในประมาณการแล้ว 

แม้จะคาดไว้อยู่แล้วว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตอย่างมากจากฐานที่ต่ำใน ไตรมาส1/57 แต่ผลการดำเนินงาน ไตรมาส1/58 ก็ยังคงออกมาดีกว่าคาด ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ BH ขึ้นราว 10-12% สำหรับปี 58-60 เพื่อสะท้อนจำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติที่สูงขึ้นกว่าคาด และอัตรากำไรที่ดีขึ้นจากการรักษาโรคที่มีความร้ายแรงมากขึ้น ราคาเป้าหมาย DCF ของเราถูกปรับขึ้นเป็น 167 บาท/หุ้น จาก 136 บาท ไตรมาส1/58 EPS เติบโต 53% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 43% เทียบไตรมาสก่อนหน้าและคาดว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องไปยังไตรมาส2/58 ด้วยคาดว่าทั้งปีจะเติบโต 32% ขณะที่คาดว่ากำไรปี 2016-17 จะเติบโตในระดับปานกลาง โดยเฉลี่ยปีละ 11% โดยมองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างมากได้สะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่งในปีนี้แล้ว และด้วยมี upside ต่อราคาเป้าหมายจำกัด จึงคงคำแนะนำ “ถือ”

 

Back to top button