พาราสาวะถี

วันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชโองการโปรดเกล้าฯพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. นั่นหมายความว่า กฎหมายสองฉบับที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งตามโรดแมปประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว สิ่งที่ผู้มีอำนาจจะต้องดำเนินการตามสัญญาเป็นการเบื้องต้นคือการคลายล็อกก่อนจะนำไปสู่การปลดล็อก


อรชุน

วันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชโองการโปรดเกล้าฯพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. นั่นหมายความว่า กฎหมายสองฉบับที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งตามโรดแมปประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว สิ่งที่ผู้มีอำนาจจะต้องดำเนินการตามสัญญาเป็นการเบื้องต้นคือการคลายล็อกก่อนจะนำไปสู่การปลดล็อก

ฟังจากคำสัมภาษณ์ของ วิษณุ เครืองาม คือการคลายล็อกจะไม่ดำเนินการในทันทีที่กฎหมายทั้งสองฉบับประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ก็จะทิ้งเวลาไว้ไม่นานเพราะวันนี้คำสั่งคลายล็อกได้ดำเนินการเสร็จหมดแล้ว ซึ่งคงภายในวันสองวันนี้ที่บรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองจะได้หายใจคล่องในระดับหนึ่ง และจะรู้กันว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง

ส่วนการปลดล็อกเลยนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ต้องรอให้กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มีผลบังคับใช้หลังจากนี้ไปอีก 90 วัน โดยเมื่อกางไทม์ไลน์ดูแล้วจะพบว่า กฎหมายส.ส.จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ นั่นหมายความว่า จะเป็นช่วงเวลาการเริ่มนับ 1 ในกรอบเวลา 150 วันที่จะต้องจัดการเลือกตั้งตามกฎหมาย

หากไม่มีอะไรที่เป็นเหตุให้ต้องเลื่อนหมายความว่า รัฐบาลคสช.จะต้องจัดให้ประชาชนหย่อนบัตรตามคำมั่นสัญญาเดิมที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ส่วนการคลายล็อกที่จะเกิดขึ้นนั้น 60 วันแรกเป็นเรื่องของกกต.ที่ต้องกำหนดเขตเลือกตั้ง ส่วนพรรคการเมืองจะมีเวลา 30 วันสุดท้ายในการคัดสรรผู้สมัครเตรียมลงรับเลือกตั้งผ่านการทำไพรมารีโหวตแบบย่อที่ผู้มีอำนาจกำหนดให้ดำเนินการโดยคำสั่งหัวหน้าคสช.มาตรา 44

ส่วนที่จะเริ่มได้เลยทันทีคือกระบวนการการสรรหาส.ว. ซึ่งต้องรอให้กกต.ประกาศระเบียบว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.ก่อนที่จะดำเนินการต่อจากนั้น คือประกาศให้มีการลงทะเบียนองค์กรที่มีสิทธิเสนอชื่อบุคคลเข้าคัดเลือกเป็นส.ว. โดยจะเปิดรับลงทะเบียนที่สำนักงานกกต.จังหวัดทั่วประเทศ ส่วนบุคคลทั่วไปที่จะลงสมัครก็จะสามารถยื่นสมัครได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ กระบวนการนี้จะได้รายชื่อส.ว. 200 คนให้คสช.เลือกเหลือ 100 คนเป็นตัวจริง 50 คนและสำรอง 50 คน บวกกับที่จะลากตั้งกันอีก 200 คน ทั้งหมดตั้งเสร็จ 15 วันก่อนการเลือกตั้งส.ส. นี่คือปฏิทินตามกรอบเวลาของกฎหมาย

แทบจะไม่ต้องมีคำถามใด ๆ ต่อกรณีที่ประชุมครม.มีมติแต่งตั้ง พุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์และอดีตแกนนำกปปส.เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เรื่องพรรค์นี้รู้กันอยู่แล้วว่าหว่านพืชแล้วหวังผลอะไร เพราะแกนนำม็อบชัตดาวน์ประเทศจากพรรคเก่าแก่ที่เป็นอดีตส.ส.เมืองหลวงอีกรายอย่าง สกลธี ภัททิยกุล ก็ถูกดึงออกจากคอกไปนั่งเป็นรองผู้ว่าฯกทม.ก่อนหน้านี้

สิ่งที่ตามมาคือเสียงวิจารณ์ว่านี่เป็นการดูดคนของพรรคเก่าแก่โดยผู้มีอำนาจ เพื่อหวังที่จะนำไปสังกัดพรรคนอมินีของคสช.เพื่อที่จะปักธงส.ส.ในสนามกทม.ใช่หรือไม่ มองเป็นอย่างอื่นคงไม่ได้ ยิ่งพิจารณาไปยังตัวผู้ว่าฯกทม.จากการลากตั้ง ณ ปัจจุบัน รวมไปถึงความนิยมในตัวพรรคประชาธิปัตย์สำหรับสนามเลือกตั้งเมืองหลวงครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะออกลูกผีลูกคน

ผลพวงที่ทำให้เดาใจคนกรุงเทพฯไม่ถูก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฝีมือและฝีปากของอดีตผู้ว่าฯกทม.ที่จากไปด้วยมาตรา 44 นาม หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ทั้งวลีไล่คนไปอยู่บนดอยถ้าไม่พอใจการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม รวมไปถึงการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยต่าง ๆ ดังนั้น จึงเป็นปัญหาชีวิตที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากยังนั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าพรรคเมื่อถึงเวลานั้นจะต้องตีโจทย์ให้แตก

ไม่ต้องพูดถึงคู่แข่งอย่างเพื่อไทย มองมุมไหนก็ยากที่จะได้รับคะแนนนิยมจากคนกรุง คงไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไร ในเมื่อไม่เอาเพื่อไทยไม่เลือกประชาธิปัตย์ จึงต้องหันไปหาทางเลือกอื่น แน่นอนว่าอนาคตใหม่ก็พอจะมีสิทธิ์แต่ก็อาจจะติดเงื่อนไขไม่รู้จะไปญาติดีกับพรรคนายใหญ่หรือเปล่า ฝ่ายการเมืองของคณะเผด็จการย่อมอ่านขาดจึงต้องสร้างทางเลือกที่ดีกว่า และหนีไม่พ้นการดึงเอาคนเหล่านี้มาร่วมงานกันไว้แต่เนิ่น ๆ

ขณะเดียวกัน เมื่อมองไปยังสายสัมพันธ์ระหว่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ กับประยุทธ์ การที่จะดึงเด็กในคาถาไปร่วมชายคาพรรคพลังประชาชาติไทยก็อาจจะตกเป็นเป้าโจมตีหรือไม่ก็ไร้เสียงสนับสนุนในสนามกรุงเทพฯ จึงใช้วิธีการผ่องถ่ายไปอยู่ใต้สีเสื้อพรรคคสช.เสียให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ปลอดจากข้อครหาทั้งปวง ถึงอย่างไรก็ยังมีภาพความเป็นคนดีคุ้มกะลาหัวอยู่

ว่ากันว่าม็อบกปปส.ของเทพเทือกนั้นมี “สี่ทหารเสือ” ที่เป็นแกนนำสำคัญนอกเหนือจากพุฒิพงษ์และสกลธีแล้ว ยังมี ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และ ชุมพล จุลใส อีกสองราย ซึ่งก็ถูกเพ่งเล็งว่าน่าจะเป็นเป้าหมายต่อไป โดยรายแรกนั้นชัดเจนตั้งแต่เข้าไปคุยกับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ทำเนียบรัฐบาลพร้อมสกลธีแล้ว จึงรอเพียงเวลาที่เหมาะสมในการจะแสดงตัวเข้าร่วมงานกับพรรคของคสช.เท่านั้น

ส่วนรายของ “ลูกหมี” ชุมพลที่ถือเป็นคนสนิทหรือจะเรียกว่าเป็นมือปืนประจำตัวเทพเทือกก็ว่าได้ ด้วยความเป็นอดีตส.ส.ชุมพรคงต้องคิดหนักกว่าใครเพื่อน เนื่องจากต้องดูทิศทางลมในพื้นที่ กระแสของประชาธิปัตย์เป็นอย่างไร หากเลือกที่จะไขก๊อกตามพวกก็มีสิทธิ์ที่จะกลายเป็นพวกสอบตก มีปัจจัยที่ต้องให้ยกเว้น จำเป็นต้องอยู่ที่เดิมแม้ใจจะไม่อยากอยู่ก็ตาม

สิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องที่อภิสิทธิ์และพรรคคงประเมินไว้แล้ว จึงได้ส่งสัญญาณมาตั้งแต่เกิดกระแสข่าวพลังดูด คนของพรรคเก่าแก่ก็ไม่รอดการถูกตกเขียวเช่นกัน ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดท่านผู้นำจึงมาตั้งคนการเมืองไปร่วมงานรัฐบาลในช่วงปลายของการบริหารงาน ความจริงไม่ต้องถามเพราะนี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมในการที่จะแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่า นักการเมืองรายใดบ้างจะอยู่ภายใต้สังกัดพรรคของคณะเผด็จการ

จะได้สร้างความมั่นใจหรือเป็นตัวอย่างให้กับพวกที่ยังลังเล รีบตัดสินใจเสีย ก่อนที่ข้อเสนอซึ่งยากปฏิเสธนั้นจะถูกยกเลิกไป แต่สูตรเช่นนี้ก็ใช้ได้กับคนบางพวกบางกลุ่มเท่านั้น เอาเข้าจริงมันยังมีปัจจัยอื่นที่แม้แต่เผด็จการเองก็ไม่อาจใช้ปลายกระบอกปืนเข้าไปควบคุมให้ได้ดั่งใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่ว่าด้วยเสียงของประชาชนผู้ที่จะเลือกอนาคตของตัวเอง

Back to top button