หุ้นเด่นหลังเลือกตั้ง

ปี 2561 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีแรงกดดันจากหลายปัจจัย อย่างสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรง และประเด็นอื่น ๆ


เส้นทางนักลงทุน

ปี 2561 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีแรงกดดันจากหลายปัจจัย อย่างสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรง และประเด็นอื่น ๆ

สิ่งสำคัญนักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิหุ้นในตลาดหุ้นไทยอย่างหนักตลอดทั้งปีสูงถึง 287,458.82 ล้านบาท แต่ในเดือนธันวาคมแรงขายเบาลงเหลือเพียง 292.83 ล้านบาทเท่านั้น ถือว่าน้อยสุดในรอบปี 2561 ขณะที่ทั้งปีพบว่าต่างชาติขายเฉลี่ยสูงถึงเดือนละ 2.40 หมื่นล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติอยู่ระดับต่ำ

ล่าสุดลดลงมาเหลือเพียง 29.57% ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2547 โดยแบ่งเป็นการถือครองโดยตรง 22.86% ต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงที่เก็บข้อมูลในปี 2547 เป็นต้นมา และถือครองผ่าน NVDR สัดส่วน 6.71%

ทั้งนี้แรงขายที่น้อยลงพร้อมสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติมาก ขณะที่ไทยมีพัฒนาการบวกจากด้านการเมืองต่อจากนี้ไป จึงคาดว่ามีโอกาสสูงที่ต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นไทยมากขึ้นในปี 2562 หนุนให้ตลาดหุ้นไทยน่าลงทุนมากขึ้น

สอดคล้องกับการวิเคราะห์เชิงปริมาณในช่วงการเลือกตั้ง 4 ครั้งหลังสุด พบว่า SET Index มักปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วง 1 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 4.88% และให้ผลตอบแทนเป็นบวกทั้ง 4 ครั้ง

จากสถิติที่ผ่านมา เงินทุนต่างชาติมักไหลเข้าตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังเลือกตั้ง โดยไหลเข้าหุ้นไทยเฉลี่ยสูงถึง 8.29 พันล้านบาท

ถึงแม้ว่าล่าสุดมีข้อมูลว่ารัฐบาลยังไม่เคาะวันเลือกตั้งที่ชัดเจนก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งก็ยังคงเดินหน้าต่อและจะเกิดขึ้นในปี 2562… จะเร็วหรือช้า!???… โดยข้อสรุปทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับ กกต.พิจารณา ส่วนจะขยับวันเลือกตั้งไปในช่วงใดนั้นขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ เพียงแต่ยืนยันต้องดำเนินการภายใน 150 วันตามกรอบกฎหมาย

ทว่าหากเลือกตั้งเสร็จสิ้นก็จะช่วยให้ Fund Flow กลับเข้ามาเหมือนกับสถิติในอดีต

ดังนั้น จากบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส มองหุ้นน่าสนใจที่จะได้รับประโยชน์หลังจากเกิดการเลือกตั้งว่าเงินจะไหลเข้า โดยมองไปที่หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง, กลุ่มธนาคาร, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น

เนื่องด้วยภายหลังจากที่มีการเลือกตั้ง รัฐบาลใหม่มักจะมีโครงการลงทุนภาครัฐจำนวนมาก หากดูจากโครงการภาครัฐที่คาดเปิดประมูลปี 2561 พบว่ามีมากถึง 24 โครงการ มูลค่า 8.2 แสนล้านบาทเลือกตั้ง

ปัจจุบัน Backlog ของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง 13 แห่ง มีมูลค่ารวม 4.5 แสนล้านบาท รองรับการรับรู้รายได้ประมาณ 2 ปี โดยกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เลือกหุ้นเด่น คือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK, บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO

ขณะที่กลุ่มวัสดุก่อสร้าง จะได้ประโยชน์ต่อจากกลุ่มรับเหมาฯ เมื่อมีการก่อสร้าง ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็ก จะมีมากขึ้น ซึ่งหุ้นเด่นเลือก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC

ทั้งนี้ทำให้ผลบวกต่อไปยังกลุ่มธนาคารพาณิชย์ การปล่อยสินเชื่อผ่านโครงการการลงทุนต่าง ๆ จะขยายตัวดีขึ้น บวกกับจีดีพีที่เติบโต คาดว่าสินเชื่อปี 2562 จะขยายตัว 6.3% โดยคาดจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งหลังของปี รวมทั้งดอกเบี้ยจะเข้าสู่ขาขึ้นปลายปี เลือกหุ้นเด่น ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL

นอกจากนี้ กลุ่มที่น่าสนใจ คือ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้รับปัจจัยบวกจากโครงการ EEC อยู่แล้ว เมื่อมีการเลือกตั้ง นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจะเชื่อมั่นมากขึ้นต่อการลงทุน หุ้นเด่นกลุ่มนี้ที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA และ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA

เหมือนกับกลุ่มค้าปลีก จะได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจที่จะดีขึ้น หลังจากโครงการภาครัฐเดินหน้าตามแผน การลงทุนภาคเอกชนก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เลือก บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL

ถือว่าหุ้นข้างต้นมักได้รับอานิสงส์หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น เพราะจะเป็นตัวแรก ๆ ที่เม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุน เนื่องจากเป็นหุ้นต่างชาติชอบไล่เก็บ!!!

Back to top button