TKN บวก 2% โบรกฯแนะซื้อเป้า 12.50 บ. คาดผลงานปีนี้ฟื้นตัว หลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

TKN บวก 2% โบรกฯแนะซื้อเป้า 12.50 บ. คาดผลงานปีนี้ฟื้นตัว หลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ล่าสุด ณ เวลา 14.51 น. อยู่ที่ 10.50 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 2.94% สูงสุดที่ 10.70 บาท ต่ำสุดที่ 10.10 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 142.41 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ล่าสุด ณ เวลา 14.51 น. อยู่ที่ 10.50 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 2.94% สูงสุดที่ 10.70 บาท ต่ำสุดที่ 10.10 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 142.41 ล้านบาท

โดย บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ “ซื้อ” หุ้น TKN ประเมินราคาเป้าหมาย 12.5 บาท/หุ้น โดยกำไรสุทธิไตรมาส 4/61 เท่ากับ 26 ล้านบาท ลดลงจาก 128 ล้านบาทในไตรมาส 3/61 และ 142 ล้านบาทในไตรมาส 4/60 ถือเป็นกำไรต่ำสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯ มาจากปัญหาสินค้าลอกเลียนแบบที่จีน และนักท่องเที่ยวจีนในไทยที่ชะลอตัว กระทบต่อรายได้รวมลดลง

ขณะที่ล่าสุดได้มีการปรับเปลี่ยน Distributor ในจีนแล้วเสร็จ (แทนรายเดิมที่ Copy สินค้าของบริษัท) และหาเพิ่มอีก 1 ราย ปัจจุบันมี Distributor ในจีน 3 ราย ครอบคลุมกวางเจา, เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง และอยู่ระหว่างกระบวนการฟ้องร้องรายเก่าที่ Copy สินค้า หลังจากนี้คาดรายได้ส่งออกไปจีนจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในไตรมาส 2/62 ปกติไตรมาส 1จะเป็น Low Season อยู่แล้ว (เพราะหยุดตรุษจีน) แต่อาจมีค่าใช้จ่ายด้านทนายที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องอีกเล็กน้อย

ขณะที่จากการประชุมนักวิเคราะห์ โทนค่อนข้างบวก ผู้บริหารตั้งเป้ากลับมาเติบโตอีกครั้งในปีนี้ โดยตั้งเป้ารายได้โต 10% – 12% จากการกลับมาของตลาดจีน ซึ่งปรับเปลี่ยน Distributor รายใหม่เสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างทยอยสร้างรายได้กลับมา

รวมถึงการหันไปรุกตลาดสหรัฐอย่างจริงจังมากขึ้น เพี่อกระจายฐานลูกค้า และอยู่ระหว่างกระจายสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเริ่มจากในประเทศก่อน ล่าสุดได้เปิดร้านแฟรนไชส์ข้าวแกงหรี่ Hinoya เพี่อลดการพึ่งพิงขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายเพียงอย่างเดียว สิ่งที่ดีคือ แนวโน้มวัตถุดิบสาหร่ายน่าจะปรับลงได้อีก 10% – 15% และตั้งเป้าสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงเป็น 16% – 17% จากปีก่อนที่ 19.1% (ไม่รวมค่าใช้จ่าย One Time) แต่ด้วยแผนธุรกิจในปีนี้ที่ค่อนข้าง Aggressive

ทั้งนี้มองว่ามีความเป็นไปได้ที่ค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่าเป้าหมาย จึงใช้สมมติฐานที่ 18.5% โดยปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2562 เป็น 696 ล้านบาท เป็นเติบโต 15.8% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากเดิมคาดโต 21% เมื่อเทียบจากปีก่อน และปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 12.5 บาท จากเดิม 14 บาท (อิง PE เดิม 25 เท่า) ราคาหุ้นปรับลงมามาก จนมี Upside 25% แต่แนะนำรอซื้อหลังเห็นความชัดเจนของการกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 1/62 ก่อนดีกว่า

Back to top button