คัด 10 หุ้นตัวท็อปวิ่งแรงในรอบ 3 เดือน ชูนักลงทุนฟันรีเทิร์นเกิน 40%

คัด 10 หุ้นตัวท็อปวิ่งแรงในรอบ 3 เดือน ชูนักลงทุนฟันรีเทิร์นเกิน 40%


ผ่านไปแล้วสำหรับการลงทุนไตรมาสแรกปี 2562 แน่นอนการลงทุนในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยมีทิศทางสดใสและปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับปัจจัยบวกหลายเข้ามาหนุนโดยเฉพาะการเมืองที่ได้มีการจัดเลือกตั้งเป็นที่เรียบร้อย

ขณะเดียวกันการประชุมเฟดในช่วงที่ผ่านมาได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.5% ตามคาด พร้อมทั้งส่งสัญญาณชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นตอบรับปัจจัยดังกล่าว โดยเฉพาะ Fund Flow ต่างชาติที่เริ่มกลับเข้ามาลงทุนในไทยหลังจากทิศทางการเมืองเริ่มชัดเจน

จากการสำรวจทีม “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” พบว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเทียบได้จากดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET) ณ วันที่ 28 ธ.ค. 2561 อยู่ที่ระดับ 1,563.88 จุด มายืนอยู่ที่ระดับ อยู่ที่ระดับ 1,638.65 จุด ณ วันที่ 29 มี.ค.62 บวกไป 74.77 จุด หรือเพิ่มขึ้น 4.78%

โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาหุ้นกลุ่ม SET ที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น 10 อันดันแรกได้แก่ TCMC,CPT,CBG,JMART,DDD, DIGI,RPC,STPI,FN และ NER ซึ่งจะขอจะนำเสนอข้อมูลประกอบเพียง 5 อันดับแรกของตารางดังนี้

อันดับ 1  บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCMC ราคาหุ้น 3 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรง 91.57% โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 1.66 บาท เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.61 มาอยู่ที่ระดับ 3.18 บาท เมื่อวันที่ 29 มี.ค.62 คาดนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรเรื่องผลประกอบการปี 2561 ซึ่งแจ้งออกมาอย่างโดดเด่นบวกกับราคาหุ้นต่ำมูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้นซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.74 บาททำให้นักลงทุนเข้าเก็งกำไรในช่วงดังกล่าว

โดยผลการดำเนินงานปี 2561 มีกำไรสุทธิ 270.96 ล้านบาท โต 23.79% จากปีก่อน 218.89 ล้านบาท  เนื่องจากการขายและบริการในปี 2561 จำนวน 9,546.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 7,633.14 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.07 นอกจากนี้บริษัทมีต้นทุนขายและบริการคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 61.82 ของยอดขายลดลงจากปีก่อนที่ร้อยละ 65.89

พร้อมกันนี้บริษัทประกาศจ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2561 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2561 เป็นเงินสด 0.09 บาทต่อหุ้น กำหนดขึ้น XD เมื่อวันที่ 21 มี.ค.62 และกำหนดจ่าย 24 พ.ค.62

 

อันดับ 2 บริษัท ซีพีที ไดร์ แอนด์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPT ราคาหุ้น 3 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรง 80% โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 0.65 บาท เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.61 มาอยู่ที่ระดับ 1.17 บาท เมื่อวันที่ 29 มี.ค.62 คาดเก็งกำไรแผนธุรกิจออกมาโดดเด่นบวกกับหุ้นเป็นขาลงมานานทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคารอบใหม่

ด้านนายสมศักดิ์ หลิมประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีที ไดร์ แอนด์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPT เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ที่ราว 1,100 ล้านบาท หรือเติบโต 10% จาก 963 ล้านบาทในปีก่อน พร้อมคาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะกลับมาสู่ระดับปกติที่ใกล้เคียงกับปี 60 ที่ทำได้ระดับ 11.35% โดยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ราว 400 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในปีนี้ทั้งหมด

นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่ของการประปาประมาณ 6-7 โครงการ มูลค่าประมาณ 250 ล้านบาท โดยการเข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ บริษัทคาดหวังว่าจะชนะการประมูลในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ในช่วงไตรมาส 3/62 เป็นต้นไป

 

อันดับ 3 บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ราคาหุ้น 3 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรง 76.42% โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 30.75 บาท เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.61 มาอยู่ที่ระดับ 51.25 บาท เมื่อวันที่ 29 มี.ค.62 คาดเก็งกำไรหลังหุ้นเป็นขาลงมานาน ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์มองว่าผลงานปีนี้จะฟื้นตัวเด่นทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นแรงในช่วงดังกล่าว

บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ กำหนดแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CBG โดยประเมินว่าผลการดำเนินงานของ CBG มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาด อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันถือว่าถูกมากเนื่องจากตลาดอาจประเมินมูลค่าของ ICUK ในแง่ลบมากเกินไป ฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้น 3% ในปี 2561 และ 15% ในปี 2562 รวมถึงปรับราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2562 มาอยู่ที่ 55 บาท

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินว่า CBG จะรับรู้ผลขาดทุนจาก ICUK ลดลงจาก 1 พันล้านบาทในปี 2562 มาอยู่ที่ 600 ล้านบาทในปี 2566 ซึ่งคิดเป็นขาดทุนสะสมระยะเวลา 5 ปีที่ 3.8 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามทางฝ่ายไม่คิดว่าผลขาดทุนของ ICUK จะกินกำไรของ CBG นานขนาดนั้นเนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่า CBG จะหาทางออกซึ่งเป็นไปได้ 2 ทางดังนี้

1.ปิดกิจการ ICUK หากมองว่าไม่มีโอกาสฟื้นตัว หรือ 2.ขายกิจการให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่นหากผลการดำเนินงานมีสัญญาณของการฟื้นตัว เราคิดว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการออกคือก่อนที่การสปอนเซอร์ฟุตบอลทั้งหมดจะหมดอายุในช่วงกลางปี 2564 ซึ่งหมายความว่า CBG อาจจะรับรู้ผลขาดทุนจาก ICUK ไปอีก 3 ปี ซึ่งผลขาดทุนสะสมช่วงปี 2562-2564 น่าจะอยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท

ดังนั้นในการประเมินมูลค่าหุ้น ทางฝ่ายใช้กำไรของ CBG ที่ไม่รวม ICUK แล้วคิดที่ PER 25 เท่าแล้วจึงหักด้วยการคิดลดกระแสเงินสดของ ICUK ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งจะได้มูลค่าของ CBG ที่ 55 บาท ณ สิ้นปี 2562

 

อันดับ 4  บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ราคาหุ้น 3 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรง 69.83% โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 4.74 บาท เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.61 มาอยู่ที่ระดับ 8.05 บาท เมื่อวันที่ 29 มี.ค.62 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงส่วนใหญ่รับแรงหนุนจากแผนธุรกิจปี 62 ที่คาดว่าจะพลิกมีกำไรบวกกับบริษัทลูก JMT ธุรกิจสดใสจึงทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ด้านนายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ภาพรวมกลุ่มเจมาร์ทในปี 62 จะพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิ จากที่ขาดทุนสุทธิ 277.06 ล้านบาทในปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามธุรกิจของบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ที่คาดว่าจะสามารถทำรายได้และกำไรสุทธินิวไฮได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทย่อยธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (J Mobile), ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด (J Fintech), ธุรกิจให้เช่าและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) และบมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) จะกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปีนี้

 

อันดับ 5 บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD ราคาหุ้น 3 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรง 64.89% โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 18.80 บาท เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.61 มาอยู่ที่ระดับ 31.00 บาท เมื่อวันที่ 29 มี.ค.62 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงได้รับอานิสงส์ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวซึ่งเป็นแรงหนุนต่อธุรกิจบริษัท ขณะเดียวกันแผนธุรกิจออกมาโดดเด่นทำให้ราคาหุ้นฟื้นตัวตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา

โดยบล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาเที่ยวเมืองไทยในช่วงวันที่ 1-28 ม.ค.  มีจำนวน 922,000 คน เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ ในช่วงเทศกาลตรุษจีน (4-10 ก.พ.) มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเที่ยวเมืองไทยจำนวน 330,000 คน เพิ่มขึ้น 4.12% เมื่อเทียบจากปีก่อน

ทั้งนี้หากพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของเดือนม.ค.จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าเมืองไทยประมาณ 30,000 คนต่อวัน ดังนั้นเมื่อนับรวมจำนวนนักท่องเที่ยวตลอดทั้งเดือน ม.ค.มีโอกาสสูงที่นักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1 ล้านคนได้อีกครั้ง นับเป็นการฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และเป็นการทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 เดือน เป็นสัญญาณบวกต่อภาพรวมการท่องเที่ยวของเมืองไทยและส่งผลบวกโดยตรงต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

ด้านนายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการบัญชีและการเงิน บริษัท ดูเดย์ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD เปิดเผยว่า บริษัทยังเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่กลุ่มอาเซียนเป็นหลัก

สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายเติบโต 15% เป็น 1,450 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1,250 ล้านบาท เป็นไปตามการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์เดิม ได้แก่ SNAIL WHITE มีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มอีก 1 ผลิตภัณฑ์ จำนวน 4 SKUs, แบรนด์  PRETTii FACE จะออกอีก 4 ผลิตภัณฑ์ จำนวน 4 SKUs, แบรนด์ SoS (เอะสึ โอ เอะสึ) ออก 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ จำนวน 4SKUs และ Oxe Cure ออก 1 ผลิตภัณฑ์ จำนวน 1 SKUs รวมเป็นในปีนี้จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งสิ้น 8 ผลิตภัณฑ์ และมีจำนวน 13 SKUs

อีกทั้งยังมีแผนขยายตลาดในประเทศ โดยมุ่งเน้นตามหัวเมืองที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ทั้งในจังหวัดกรุงเทพฯ, ภูเก็ต,ชลบุรี,สุราษฎร์ธานี, กระบี่, พังงา, เชียงใหม่, สงขลา, ประจวบคีรีขันธ์ และตราด เป็นต้น

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button