พาราสาวะถี

หมายกำหนดการวันนี้ฤกษ์เวลา 16.09-20.30 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์ รัชกาลที่ 5 ณ พระลานพระราชวังดุสิต จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปถวายราชสักการะปฐมบรมราชานุสรณ์ (รัชกาลที่ 1) ณ เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า และเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระบรมมหาราชวัง ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เพื่อทรงบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่จะเข้าสู่การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคมถึงวันที่ 6 พฤษภาคมนี้


อรชุน

หมายกำหนดการวันนี้ฤกษ์เวลา 16.09-20.30 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์ รัชกาลที่ 5 ณ พระลานพระราชวังดุสิต จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปถวายราชสักการะปฐมบรมราชานุสรณ์ (รัชกาลที่ 1) ณ เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า และเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระบรมมหาราชวัง ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เพื่อทรงบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่จะเข้าสู่การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคมถึงวันที่ 6 พฤษภาคมนี้

การเมืองว่าด้วยเรื่องวุ่น ๆ ของกกต. ถ้าไม่ใช้คำว่าตลกก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนแล้ว กับการยืนยันของ จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต.ที่อ้างว่ากกต.มีสูตรคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แค่สูตรเดียวและเป็นไปตามกฎหมาย เพราะถ้ามีแบบนั้นจริง คำถามที่ตามมาคือ ทำไมไม่ประกาศให้สาธารณชนรับรู้รับทราบเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน กลัวอะไรในเมื่อยืนยันว่าสูตรที่มีนั้นเป็นไปตามกฎหมาย

ตลกไปกว่านั้นคือ เมื่อมีสูตรเดียวแล้วจะส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความจนถูกตีตกทำไม และยังทำให้สังคมตั้งข้อกังขาว่า กกต.ไม่รู้จักอำนาจและหน้าที่ของตัวเองอย่างนั้นหรือ พฤติกรรมที่สังคมรับรู้กับสิ่งที่เลขาฯกกต.แถลงมันไม่ได้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลมากเท่าไหร่ ผลการเลือกตั้งที่จะมีการประกาศรับรองภายในวันที่ 9 พฤษภาคมนั้น มันจะเต็มไปด้วยข้อคำถามเรื่องโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม อันเป็นสโลแกนสำคัญของกกต.

คงไม่มีใครเชื่อหรอกว่า เมื่อมีสูตรที่เป็นไปตามกฎหมายแล้ว ทำไมจะต้องลีลา ยิ่งแสดงอาการเงื้อง่าราคาแพงหรือเล่นเอาล่อเอาเถิด ยิ่งทำให้สังคมคิดไปได้ว่าเป็นเจตนาที่จะดำเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคใดพวกหนึ่งหรือไม่ เพราะการแสดงออกว่ากลัวต่ออำนาจพิเศษของเผด็จการ ด้วยการยอมรับการคุ้มกะลาหัวจากมาตรา 44 กรณีแบ่งเขตเลือกตั้งนั้น มันสะท้อนภาพของความไม่ปกติในการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระแห่งนี้ได้เด่นชัดที่สุด

ไม่เพียงเท่านั้น กรณีการถือหุ้นสื่อก็จะเป็นบททดสอบบรรทัดฐานในการวินิจฉัยของกกต.ด้วยอีกทางหนึ่ง เนื่องจากเวลานี้การร้องเรียนให้ตรวจสอบไม่ได้มีเฉพาะว่าที่ส.ส.หรือผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคที่ถูกเรียกว่าอยู่ปีกประชาธิปไตยเท่านั้น ล่าสุด มีการร้องเรียนว่าที่ส.ส.และผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐด้วย โดยเริ่มมีการชี้แจงและอธิบายว่าคนของพรรคที่สืบทอดอำนาจนั้นไม่ได้ถือหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อ

มีการอ้างว่าบริษัทที่มีหุ้นอยู่นั้นไม่ได้ทำธุรกิจสื่อ ธุรกิจจริงทำอย่างอื่น เรื่องของสื่อเป็นเพียงการแจ้งจดวัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจเท่านั้น คงจะอ้างกันได้ แต่มีกรณีตัวอย่างเกิดขึ้นแล้วนั่นก็คือกรณีของ ภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัครส.ส.เขต 2 สกลนคร พรรคอนาคตใหม่ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำวินิจฉัยไปแล้วให้ถอนรายชื่อจากการเป็นผู้สมัครส.ส.ดังกล่าว

มูลเหตุมาจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส โดยเจ้าตัวได้ร้องคัดค้านคำสั่งของกกต.ที่สั่งให้เพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง โดยยืนยันว่า ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวประกอบกิจการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย ส่วนที่ระบุในวัตถุประสงค์ข้อที่ 43 ว่าประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ รับจัดทำสื่อโฆษณา สปอตโฆษณา เผยแพร่ข้อมูล เป็นเพียงแบบวัตถุประสงค์สำเร็จรูปแนบคำขอจดทะเบียนเท่านั้น

เหมือนและตรงกันเป๊ะกับสิ่งที่ว่าที่ส.ส.และกรรมการบริหารของพรรคสืบทอดอำนาจอธิบายมาทุกประการ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าข้ออ้างเรื่องห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการสื่อแต่ไม่ได้ประกอบกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์และออกหนังสือพิมพ์จึงฟังไม่ขึ้น ตรงนี้คือไฮไลต์สำคัญ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่เป็นส่วนสำคัญของคำพิพากษานั้น เรามิอาจไปก้าวล่วงได้

กล่าวเฉพาะกระบวนการทำงานของกกต.ต่อกรณีการเอาผิดในเรื่องนี้ นอกจากจะพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการจดทะเบียนตั้งบริษัทแล้ว ฝ่ายไต่สวนสืบสวนควรจะต้องไปตรวจสอบก่อนหรือไม่ว่า บริษัทเหล่านั้นได้ประกอบกิจการตามนั้นหรือไม่ ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัย เพราะกรณีวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัทนั้น เชื่อแน่ว่าส่วนใหญ่จะจดกันไว้หลายอย่างเป็นการเผื่อไว้ โดยที่ไม่ได้ประกอบกิจการนั้นแต่อย่างใด

ด้วยเหตุของการพิจารณาที่ไม่รัดกุมรอบด้านนี้หรือไม่ จึงทำให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แสดงความไม่พอใจหลังจากเข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการไต่สวนของกกต.  โดยระบุว่า กกต.ไม่สามารถตอบคำถามว่าตนผิดตรงไหน เอกสารตรงไหนผิด หรือหลักฐานชิ้นใดที่ไม่น่าเป็นการโอนหุ้นครบถ้วนตามกฎหมาย ก่อนที่จะมองว่าคดีนี้มีมูลเหตุแรงจูงใจไม่ใช่เรื่องความเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องกฎหมาย แต่เป็นมูลเหตุแรงจูงใจทางการเมือง

ตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าคิดและน่าจะตรงใจคนจำนวนไม่น้อย ขณะที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ก็ย้ำว่า ปัญหาในการไต่สวนคือแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้วและคณะไต่สวนก็มาพิจารณา มีการตั้งคำถามถึงการทำงานของกกต.ว่าทำไมถึงมีมติตั้งข้อกล่าวหาโดยที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ไปชี้แจง คำตอบที่ได้คือ ทางกกต.ได้ตรวจสอบจากบมจ. แค่สงสัยว่าเป็นผู้ถือหุ้น

ในฐานะอาจารย์ด้านกฎหมายปิยบุตรจึงตั้งคำถามกลับ ทำไมกกต.ไม่ไปเปิดกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรคสอง วรรคสาม และถ้าสงสัย ไม่รู้ว่าถือหุ้นจริงหรือไม่ ทำไมไม่เรียกธนาธรไปถาม ทำไมถึงมีมติแจ้งข้อกล่าวหาทันที การดำเนินการเช่นนี้เท่ากับเป็นการตั้งข้อกล่าวหาลอย ๆ โดยที่ไม่ได้พิจารณาองค์ประกอบความผิดอย่างละเอียด

น่าคิดต่อ กรณีนี้หากเป็นอย่างที่คู่หูจากพรรคอนาคตใหม่ว่า ถ้ากระบวนการทำงานของกกต.เป็นไปโดยมูลเหตุจูงใจทางการเมือง แล้วมีกระบวนการวินิจฉัยที่ผิดเพี้ยน กกต.ทั้ง 7 คนรับผิดชอบไหวหรือไม่ คำเตือนเรื่องระวังความผิดจะวกกลับเข้าตัวนั้นดังมาจากผู้รู้หลายราย คงต้องคิดกันให้หนัก กกต.ต้องอยู่ต่อไปเพราะเป็นองค์กรอิสระ ขณะที่อำนาจเผด็จการมีระยะหรือวันที่สิ้นสุด ดังนั้น การยืนอยู่บนหลักกฎหมาย และความยุติธรรมคือสิ่งที่จะคุ้มครองคนทำงานและองค์กรแห่งนี้ แต่ถ้าไม่ใช่ปลายทางก็ตัวใครตัวมัน

Back to top button