พักศึก ‘จีน-สหรัฐ’… โฟกัส “Brexit”ต่อ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์โอ่ว่าข้อตกลงการค้าเฟส 1 กับจีนมีสาระสำคัญมาก แต่ดูเหมือนนักวิเคราะห์จากหลาย ๆ สำนักจะไม่คิดเช่นนั้น โดยมองว่าเป็นการ “สงบศึกชั่วคราว” มากกว่าที่จะเป็นข้อตกลงที่แท้จริง


พลวัตปี 2019 : ฐปนี แก้วแดง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์โอ่ว่าข้อตกลงการค้าเฟส 1 กับจีนมีสาระสำคัญมาก แต่ดูเหมือนนักวิเคราะห์จากหลาย ๆ สำนักจะไม่คิดเช่นนั้น โดยมองว่าเป็นการ สงบศึกชั่วคราว” มากกว่าที่จะเป็นข้อตกลงที่แท้จริง

สาเหตุที่นักวิเคราะห์มองเช่นนั้นเพราะว่า ข้อตกลงที่ได้ไม่ได้แก้ปัญหาที่เป็นหนามยอกอกอย่างเพียงพอ และได้เตือนว่าการเจรจาอาจจะล้มลงอีกครั้งก่อนที่จะได้ร่างข้อตกลงเฟสหนึ่งในช่วงสามสัปดาห์ข้างหน้าตามที่ทรัมป์กล่าว

เริ่มจาก มอร์แกน สแตนลีย์ มองว่าข้อตกลงบางส่วนกับจีนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นการเตรียมการที่ไม่แน่นอนแม้ว่าอาจเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และดูเหมือนว่าไม่ได้เป็นหนทางที่สามารถจะลดภาษีที่เก็บอยู่ในขณะนี้ได้

สหรัฐฯ ตกลงระงับการขึ้นภาษีสินค้าจีนในวงเงิน 250,000 ล้านดอลลาร์จาก 25% เป็น 30% ที่กำหนดไว้ว่าจะปรับขึ้นในวันอังคารที่ 15 ตุลาคม แต่ไม่ได้ยกเลิกภาษีที่ได้ขึ้นไปเมื่อเดือนกันยายนและแผนการที่จะขึ้นอีกรอบก่อนวันหยุดคริสต์มาสในวันที่ 15 ธันวาคม ก็ยังคงอยู่ ตามความเห็นของมอร์แกน สแตนลีย์ หากไม่มีกลไกระงับข้อพิพาทเป็นการถาวร ก็อาจมีการขึ้นภาษีอีกรอบได้

นอกจากนี้มอร์แกน สแตนลีย์ ยังระบุว่า ยังไม่มีแนวทางที่จะทำให้ภาษีที่เก็บอยู่ลดลงและการขึ้นภาษียังคงเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญอยู่ ดังนั้นจึงไม่คาดว่าพฤติกรรมของบริษัทที่จะทำให้เกิดการคาดการณ์ถึงการเติบโตทั่วโลกสูงขึ้น จะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะเดียวกัน “เอเวอร์คอร์” ระบุว่า ข้อตกลงการค้าของจีนและสหรัฐฯ ในช่วงแรกไม่ได้ช่วยให้บริษัททั่วโลกตัดสินใจว่าจะไปลงทุน จ้างงาน หรือ ใช้แหล่งผลิตจากที่ใด และหากสหรัฐฯ ยังคงมีมุมมองที่ยังคงคิดหยุดยั้งการเติบโตของจีน จะเกิดสงครามการค้าต่อไป แต่คาดการณ์ว่าจะมีการเลื่อนเก็บภาษีและไม่มีการขึ้นภาษีเพิ่มในปีหน้า

เอเวอร์คอร์ยังระบุว่า แถลงการณ์ของทรัมป์ที่ว่าใกล้จะยุติสงครามการค้าแล้ว ไม่มีเหตุผล และไม่คาดว่าจะมีการลดภาษีในปี 2563 แต่ก็ได้เย้ยหยันว่ายินดีที่จะได้เจอกับเซอร์ไพรส์ และสรุปว่า ตราบเท่าที่ยังคงมีการเก็บภาษีเพื่อลงโทษกัน ก็ยังถือว่าความสัมพันธ์ของจีนและสหรัฐฯ ยังไม่ดีขึ้น

ส่วนโกลด์แมน แซคส์ มองว่ามีโอกาส 60% ที่ภาษี 15% ที่ได้ประกาศไปแล้วจะมีผลบังคับใช้ แต่คาดว่าจะชะลอไปจนถึงต้นปีหน้า มากกว่าที่จะเก็บภาษีตามเส้นตายในวันที่ 15 ธันวาคม

ด้านเจพี มอร์แกน มองว่า ข้อตกลงเฟส 1 เป็นพัฒนาการในทางบวกหลังจากที่การค้าทวีความรุนแรงมากขึ้นแต่ผลการตกลงไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด และคาดการณ์ว่าความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2563

ตามความเห็นของเจพี มอร์แกน ผลกระทบเชิงมหภาคของข้อตกลงขนาดเล็ก จะช่วยขจัดความเสี่ยงในทางลบในไตรมาสต่อ ๆ ไปได้  แต่ไม่มีผลกระทบต่อแนวโน้มในการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

แม้ว่านักวิเคราะห์ไม่มีความเชื่อมั่นหรือศรัทธาต่อข้อตกลงที่ทรัมป์ได้อวดอ้างสักเท่าไหร่ แต่ เมื่อคำนึงถึงว่า สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยืดเยื้อมายาวนานเกือบสองปีและการเจรจาก็ออน ๆ ออฟ ๆ มาตลอด  การได้ความคืบหน้าแค่นี้ ก็น่าจะถือว่าดีมากแล้ว

อย่างน้อยผลดีในระยะใกล้ที่เห็นชัดสุดคือ สหรัฐฯ ตกลงระงับการขึ้นภาษีสินค้าจีน 250,000 ล้านดอลลาร์จาก 25% เป็น 30% ในวันที่ 15 ตุลาคม นอกจากนี้การที่จีนตกลงซื้อสินค้าเกษตรสหรัฐฯ 40,000 – 50,000 ล้านดอลลาร์ ก็น่าจะช่วยให้ทรัมป์อารมณ์ดีขึ้นและได้มีเรื่องไปหาเสียงกับเกษตรกรได้บ้าง

ดูเหมือนว่านักลงทุนก็อยากจะพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนเช่นกัน  ตราสารหุ้นเอเชียและวอลสตรีท ปรับตัวขึ้นเมื่อวานนี้เมื่อนักลงทุนมีความหวังว่า อังกฤษยังมีโอกาสที่จะหลีกเลี่ยงการออกจากสหภาพยุโรป (อียู) อย่างวุ่นวายได้

เจ้าหน้าที่อังกฤษและอียูจะประชุมสุดยอดในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์นี้ การประชุมนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่า อังกฤษจะออกจากอียูในวันที่ 31 ตุลาคมนี้โดยไม่มีข้อตกลงหรือไม่

นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ต้องการบรรลุข้อตกลงกับอียูเพื่อให้อังกฤษออกจากอียูอย่างสงบเรียบร้อยในวันที่ 31 ตุลาคมนี้  แต่ประเด็นที่ยังคงติดอยู่คือเรื่องพรมแดนระหว่างไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสมาชิกของอียู กับไอร์แลนด์เหนือซึ่งเป็นของอังกฤษ

แม้นักการเมืองอียูบางคนได้แสดงความเห็นในทางบวกว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้และฟินแลนด์ซึ่งเป็นประธานอียูในขณะนี้กล่าวว่า อาจเจรจากันต่อได้หลังการประชุมสุดยอดอียูแต่นักการทูตจากอียูหลายคนได้มีมุมมองในทางลบว่าไม่น่าจะได้ข้อตกลงในสัปดาห์นี้ และยังไม่พอใจเกี่ยวกับการเสนอทางออกเรื่องพรมแดนของจอห์นสันและต้องการให้อังกฤษยอมอ่อนข้อมากกว่านี้

หากอียูและอังกฤษไม่สามารถตกลงกันได้ จอห์นสันกล่าวว่าเขาจะนำอังกฤษออกจากอียูโดยไม่มีข้อตกลงแม้ว่าสภาอังกฤษได้ผ่านกฎหมายที่ห้ามจอห์นสันทำเช่นนั้นแล้ว

เพื่อให้ทำข้อตกลงได้สำเร็จ จอห์นสันจะต้องจัดการเรื่องความซับซ้อนของชายแดนไอริชให้ได้ก่อนที่จะได้รับการอนุมัติจากมหาอำนาจของยุโรป และจากนั้นจึงนำข้อตกลงใด ๆ ที่ได้กับอียูไปขายให้กับรัฐสภาอังกฤษ ซึ่งในขณะนี้จอห์นสันก็ยังไม่มีเสียงสนับสนุนมากพอ

ปัญหา Brexit น่าจะเข้ามามีอิทธิพลต่อตลาดแทน “ข้อตกลงสงบศึก” ของจีนและสหรัฐฯ ไปจนถึงสิ้นเดือนนี้  ตลาดหุ้นในช่วงนี้จึงน่าจะผันผวนและแปรปรวนได้ง่ายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผลประกอบการไตรมาสสามมาช่วยสร้างความผิดหวังอีกแรง

Back to top button