7 หุ้น SET แรลลี่ยาวสวนตลาดฯ โชว์ 11 เดือนโกยรีเทิร์นเกิน 100% 

 7 หุ้น SET แรลลี่ยาวสวนตลาดฯ โชว์ 11 เดือนโกยรีเทิร์นเกิน 100% 


ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วง 11 เดือนแรกปี 2562 พบว่าดัชนีอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากดัชนีหลุดแนวรับสำคัญทั้ง 1700 จุด และ 1600 จุด ในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 เนื่องจากนักลงทุนกังวลปัจจัยสงครามการค้า,การประท้วงในฮ่องกง และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในช่วง 9 เดือนออกมาไม่สดใส

ล่าสุดการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากสองประเทศสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าขั้นต้นได้ และการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งจะมีผลในเดือนธ.ค. 62 นี้ถูกยกเลิกไป โดยทรัมป์จะลดภาษีนำเข้าจากจีนวงเงิน US$1.2 แสนล้าน จาก 15% เหลือครึ่งหนึ่งหรือ 7.5% แต่จะยังเก็บภาษี 25% กับสินค้าจีนมูลค่า US$2.5 แสนล้านต่อไป ขณะที่จีนได้ประกาศยกเลิกแผนที่จะตอบโต้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามปัจจัยที่กดดันก่อนหน้าส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงเกินพื้นฐานหลายตัว แต่หากมองอีกด้านยังมีหุ้นที่แกร่งกว่าตลาดและโกยผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น

โดยทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET ในช่วง 11 เดือนมานำเสนอโดยเรียงลำดับจากหุ้นปรับตัวขึ้นมากสุดไปหาน้อยสุด ซึ่งครั้งนี้คัดเลือกเฉพาะหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงและให้รีเทิร์นเกิน 100% มานำเสนอดังตารางประกอบ

อันดับ 1 คือ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG เป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงสูงสุดในกลุ่มโดยราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 183.71%  จากยืนที่ระดับ 30.75 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 87.25 บาท ณ วันที่ 29 พ.ย.62 โดยได้รับแรงหนุนจาก

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส4/62 ยังสดใสต่อเนื่อง จากพัฒนาการของอัตรากำไรขั้นต้นที่โดดเด่น เบื้องต้นเราคาดโต +6.6% เทียบช่วงไตรมาสก่อนหน้า, +52% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและผู้บริหารยังตั้งเป้าหมายปีหน้าที่ Aggressive โดยเน้นตลาดส่งออก CLMV เป็นหลัก โดยเฉพาะ พม่าและเวียดนาม รวมถึงตลาดจีนที่ยังตั้งป้าโตต่อเนื่อง แต่เป้าลดลงจากครั้งก่อน เพราะจะหันมาเน้นการทำกำไรมากขึ้น

ส่วนตลาดในประเทศมีเป้าที่สูงขึ้นจากปีนี้ เพราะมีแผนออกสินค้าใหม่ และจะแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่ง ทั้งนี้ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้รวมปี 2563 โตถึง 20% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่มอง Conservative มากกว่าจึงคาดไว้ที่ 8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยสิ่งที่เราประทับใจคือ อัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับขึ้นได้ดีกว่าคาดในไตรมาส 3/62 และจะเพิ่มได้อีกในไตรมาส 4/62 ต่อเนื่องไปในปี 2563 มาจาก Economies of Scale ของโรงงานกระป๋อง จากการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น และจะใช้ได้เต็มปีในปีหน้า รวมถึงโรงงานขวดแก้ว ที่ล่าสุดได้คำสั่งซื้อจากลูกค้าภายนอกเข้ามา จะเข้ามาช่วยเติมกำลังการผลิตให้สูงขึ้น คาดอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2020 จะขยับขึ้นได้ถึง 42% เพิ่มจาก 39.2% ในปี 2562 (ต่ำกว่าเป้าของผู้บริหารที่ 43% – 44%) ส่วนขาดทุนที่ UK ยังลดลงสอดคล้องกับแผนของบริษัท

ทั้งนี้คาดกำไรสุทธิปี 2562 จะเติบโตสูง 114.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและคาดโตต่อเนื่องในปี 2563 ราว 23.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและประเมินราคาเป้าหมายปี 2563 เท่ากับ 107 บาท อิง PE 35 เท่า เท่ากับ PE เฉลี่ยของกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังระดับโลก ยังมี Upside 22.6% แนะนำ ซื้อ

 

อันดับ 2 บริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMANAH ราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 142.65% จากยืนที่ระดับ 1.36 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.30 บาท ณ วันที่ 29 พ.ย.62 โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มดอกเบี้ยลดลงส่งผลให้ต้นทุนทางเงิน

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า AMANAH แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 3.60 บาท อิง 2020E PBV 2.2x (+2.5SD above 3-yr average PBV) โดยคาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส4/63 จะยังดีต่อเนื่อง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เทียบไตรมาสก่อนหน้า ทำให้มี upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2019E ขั้นต่ำ +3% ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 39% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาจากการคาดหวังผลประกอบการที่ดีขึ้นเป็นหลัก ทั้งนี้ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากโอกาสในการขยายสินเชื่อที่ aggressive มากขึ้น และบริษัทจะเพิ่มการยึดรถแทนการประนีประนอมของ NPLs ที่จะส่งผลบวกต่อ  LGD ที่ลดลง และค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯที่ลดลง ซึ่งก่อให้เกิดโอกาสที่จะ Reverse สำรองส่วนเกินกลับมาเป็นรายได้ในอนาคต ซึ่งเรายังไม่รวมในประมาณการ

 

อันดับ 3 บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM ราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 137.94%  จากยืนที่ระดับ 22.80 บาท ณ วันที่ 29พ.ย.62 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 54.25 บาท

นายอัญชลิน พรรณนิภา ประธานกรรมการ TQM เปิดเผยว่า บริษัทเพิ่มเป้าหมายยอดขายปีนี้ขึ้นเป็น 12,790 ล้านบาท จากเดิมคาด 12,690 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้เข้าซื้อหุ้น 100% ใน ที เจ เอ็น อินชัวร์รันส์ โบรกเกอร์ ซึ่งเป็นนายหน้าประกันรถยนต์ส่งผลทำให้รับรู้กำไรและรายได้เข้ามาทันที  โดยบริษัทคาดยอดขายจากบริษัทใหม่ที่ 100 ล้านบาทในปีนี้ พร้อมกันนี้ธุรกิจประกันปกติในครึ่งปีหลังยอดขายจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรกอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ในไตรมาส 4/62 บริษัทเตรียมเปิดตัวพันธมิตรที่เป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อออกบัตรเครดิตร่วมกัน ซึ่งจะนำเสนอบริการดังกล่าวแก่ลูกค้าของบริษัทที่มีอยู่ 1.5 ล้านราย โดยจะเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าผ่านประกันชีวิต ประกันรถยนต์ และ ประกันบ้าน ซึ่งนับว่าเป็นโบรกเกอร์รายแรกที่ทำบัตรเครดิตร่วมกับธนาคาร ประกอบกับ บริษัทเตรียมตั้งสาขาในซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างทำสัญญา และ เจรจากับพันธมิตร

พร้อมกันนี้ บริษัทเตรียมซื้อธุรกิจโบรกเกอร์เพิ่มเติม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา 4-5 ราย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 63 ซึ่งนโยบายหลักของบริษัทจะต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 50% และจะต้องเป็นบริษัทที่ทำกำไรแล้ว เนื่องจากเมื่อซื้อเข้ามาแล้วจะทำให้บริษัทสามารถต่อยอดบริการ และสามารถรับรู้รายได้กำไรในทันที

สำหรับการลงทุนภายหลังบริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดราว 2,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนระบบไอทีเพื่อพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ ซึ่งจะเน้นการซื้อกิจการมากขึ้น รวมไปถึงการลงทุนในหุ้น โดยปัจจุบันลงทุนใน บมจ.กรุงเทพประกันภัย (BKI) ประมาณ 100 ล้านบาท ลงทุนในกองทุนรวมและหุ้นกู้

บล.บัวหลวง ระบุว่า TQM ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นจากผลประกอบการในครึ่งหลังปี 2562 จากความสามารถขายเบี้ยประกันภัยและประกันชีวิตมากขึ้นครึ่งแรกของปีและต่อเนื่องในครึ่งหลังผ่านความร่วมมือออกสินค้าใหม่กับเมืองไทยประกันภัยรวมถึงการซื้อ TJN insurance broker ในเดือนก่อนช่วยเพิ่มเบี้ยรับ

เชื่อว่า TQM สามารถทำกำไรดีตามประมาณการปีนี้และกิจการมีอัพไซด์จากประมาณการเราปีหน้าจากธุรกิจใหม่ อันมาจากเบี้ยประกันที่มากกว่าเราคาดและจากรายได้คอมมิชชั่น  แนวโน้มดังกล่าวทำให้มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้น สำหรับกำไรครึ่งปีหลังและปีหน้า คงคำแนะนำ “ซื้อ”

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ คาดว่า TQM เป็น 1 ในหุ้นที่จะเข้า SET100 รอบใหม่ ซึ่งจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้กลางเดือนธ.ค.2563และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค.2564

 

อันดับ 4 บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 126.74% จากยืนที่ระดับ 8.60 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 19.50 บาท ณ วันที่ 29 พ.ย.62

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า  กระทรวงพลังงาน ปรับลดน้ำมันดีเซล บี 10-แก๊สโซฮอล์อี 20 ลิตรละ 1 บาท ตั้งแต่ 25 ธ.ค. 2019-10 ม.ค. 2020 และกระตุ้นยอดน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ หนุนราคาปาล์มดิบขึ้นต่อเนื่อง  KTBST:มีมุมมองเป็นบวกต่อ PTG ทั้งปริมาณการขาย B10 ที่จะเพิ่มมากขึ้นเพราะการอุดหนุนของรัฐบาล และ ราคา CPO ที่ปรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดือน ต.ค. ที่เฉลี่ย 17 บาท/กก มาเป็น 25 บาท/กก ในเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นผลบวกโดยตรงต่อ palm complex ของบริษัทที่มีอัตราการผลิตที่ 80-90% ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 27.75 บาท อิง PER ที่ 25 เท่า (+0.5SD above 5-yr average PER) หรือคิดเป็น PEG  ที่ 0.4 เท่า

 

อันดับ 5 บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 104.91%  จากยืนที่ระดับ 81.50 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ167.00 บาท ณ วันที่ 29 พ.ย.62

บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(21พ.ย.62) ว่า บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF (เป้าพื้นฐาน 198.5 บาท) ประเมินแนวรับ 171.5 บาท / หากผ่านแนวราคา 179.5 บาทได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 183 บาท (Stop loss 29.5 บาท) 2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับลงสะท้อนความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอีกครั้งหลังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีนยังไม่มีความชัดเจน คาดหุ้น Defensive ที่มีโรงสร้างกระแสเงินสดคล้ายพันธบัตรอย่างกลุ่มโรงไฟฟ้าจะกลับมาเป็นที่พักเงินของนักลงทุน 3) วานนี้ฝ่ายวิจัยฯปรับประมาณการฯและราคาเหมาะสม GULF* ขึ้น หลังได้ข้อมูลโครงการลงทุนที่เวียดนาม และลาวเพิ่มเติม

โดยข้อมูลรวมจากการประชุมนักวิเคราะห์อยู่ในเชิงบวก โดย GULF คาดว่าจะถือหุ้น 70-75% ในโครงการ Ca-Na LNG to Power (ในเวียดนาม) จึงเปลี่ยน base case ของจากเดิมที่คาดว่าบริษัทจะถือหุ้น 50% เป็น 70% ซึ่งจะทำให้มี upside จาก base case เดิมของอีก 23.50 บาท/หุ้น

นอกจากนี้ปรับเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จของโครงการโรงไฟฟ้าในลาวจาก 70% เป็น 80% และคาดว่าและเริ่มเจรจาค่าไฟกับ กฟผ.ในปีหน้า ทั้งนี้ GULF จบปิดดีลเงินกู้โครงการ Gulf Pluak Daeng (GPD,1,750MWe) แล้ว ซึ่งจะทำให้มี upside อีก 2 บาท/หุ้น จากต้นทุนการเงินของโครงการที่ต่ำกว่าคาด (3.3%) (เดิมเราใช้สมมติฐานที่ 4.5%)ปรับเพิ่มคำแนะนำจากถือเป็นซื้อ และให้ราคาเป้าหมาย DCF ปี 2563 ที่ 198.50 บาท สำหรับในระยะสั้น คิดว่าบริษัทน่าจะเซ็นสัญญา O&M โครงการมอเตอร์เวย์ได้ในไตรมาส 1/63 (รวมอยู่ในสมมติฐานของเแล้ว) มองว่าการที่ GULF รุกขยายกำลังการผลิตในต่างประเทศจะทำให้ราคาเป้าหมายของมี upside เพิ่มอีก

 

อันดับ 6 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 100%  จากยืนที่ระดับ 26.50 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 53.00 บาท ณ วันที่ 29 พ.ย.62

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า  บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM มองปีหน้ายังเติบโตโดดเด่นจากกำลังผลิตติดตั้งที่เพิ่มขึ้นและยังมี Potential Growth จากโครงการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะเวียดนามที่บริษัทได้เซ็น MOU ไปแล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมา เชื่อราคาหุ้นยังมี upside ราคาหุ้นปัจจุบันเทรด PE 25 เท่าของปี 2020 / ROE

บล.เอเอสแอล) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า  แนะนำให้รอลงทุนกลุ่มต่อไปนี้ในช่วงปลายปี-ต้นปีหน้าในกลุ่มต่อไปนี้กลุ่มโรงไฟฟ้า ชอบ gulf ea bgrim bcpg ถึงแม้ว่าหลายตัวจะมี pe ที่สูง แต่เชื่อว่าผลประกอบการจะออกมาเติบโตต่อเนื่อง

 

อันดับ 7 บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 100%  จากยืนที่ระดับ 11.20 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 22.40 บาท ณ วันที่ 29 พ.ย.62

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT  ( ซื้อ/เป้า IAA Consensus 24) แจ้งกำไรสุทธิไตรมาส 3/62 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 190 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 28% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และ 37% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

แนวโน้มไตรมาส 4/62 ยังมีโอกาสทำ All time high ได้อีกจากรายได้ของการเรียกเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามพอร์ตหรือฐานลูกหนี้ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีพอร์ตหนี้ในการบริหารทั้งหมด 1.4 แสนล้านบาท สามารถสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องไปได้อีกอย่างน้อย 12 ปี

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button