JMT บวกต่อ 3% “ทรีนีตี้” อัพเป้าสู่ 30 บาท รับกำไรไตรมาส 2 แข็งแกร่ง

JMT บวกต่อ 3% “ทรีนีตี้” อัพเป้าสู่ 30 บาท รับกำไรไตรมาส 2 แข็งแกร่ง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ล่าสุด ณ เวลา 10.52 น. อยู่ที่ระดับ 27.75 บาท ปรับตัวขึ้น 0.75 บาท หรือ 2.78% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย  325.53 ล้านบาท

โดย บล.ทรีนีตี้  ระบุในบทวิเคราะห์ (10 ก.ค.2563) คาดการณ์กำไรไตรมาส 2/63 ยังแข็งแกร่ง โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ระดับ 205 ล้านบาท อ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย 1% แต่ยังเติบโตสูงถึง 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน โดยมีประเด็นสำคัญคือ

  1. คาดรายได้จากการให้บริการติดตามหนี้ดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน แม้ในช่วงที่ COVID-19 ระบาดหนักอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่ในช่วง Lock down ทำให้อัตราสำเร็จในการติดต่อลูกหนี้เพิ่มสูงขึ้น
  2. คาดรายได้จากลูกหนี้ที่รับซื้อลดลงเล็กน้อยราว 2% จากไตรมาสก่อน โดยผลกระทบจากช่วง COVID-19 และการช่วยเหลือลูกหนี้ทำให้กระแสเงินสดรับลดลงบ้าง แต่ในแง่ของรายได้ไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากรับรู้รายได้ตามเกณฑ์คงค้าง (EIR) อย่างไรก็ตามรายได้ที่ลดลงเป็นผลกระทบมาจากหนี้บางกองที่ใกล้ตัดต้นทุนหมดในไตรมาสนี้ ทำให้รับรู้รายได้น้อยลง
  3. การควบคุมค่าใช้จ่ายโดยรวมอาจดีขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากฐานลูกหนี้ที่รับซื้อใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่บริษัทยังไม่เพิ่มจำนวนพนักงาน แต่ในอนาคตวางแผนจะนำระบบ IT มาเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามหนี้แทน
  4. สำหรับธุรกิจประกันในไตรมาสก่อนได้รับผลกระทบจากการขายประกัน COVID-19 ที่ต้องตั้งสำรองในระดับสูง (แต่ยอดเคลมจริงอาจต่ำมาก เนื่องจากอัตราการระบาดดีขึ้นเรื่อยๆ) แต่รายได้จากการขายประกันเป็นการทยอยรับรู้รายได้ ทั้งนี้คาดว่าในไตรมาสนี้ธุรกิจประกันจะพลิกกลับมาเป็นกำไรได้

ทั้งนี้ คงประมาณการกำไรสำหรับปี 63 ที่ 850 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน โดยมองช่วงที่เหลือของปีผลประกอบการจะยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังอาจมีการตัดต้นทุนหนี้บางกองครบ ซึ่งจะทำให้กำไรปรับเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ NPL ในระบบที่อาจเพิ่มสูงขึ้นมากจะเป็นปัจจัยบวกต่อการซื้อหนี้ของบริษัท โดยบริษัทตั้งเป้าจะใช้เงินลงทุนราว 4.5-5 พันล้านบาท และ 4 เดือนแรกของปีนี้ซื้อหนี้มาคิดเป็นมูลหนี้รวมราว 1 หมื่นล้านบาทแล้ว (ยังไม่ทราบเงินลงทุน) ซึ่งฐานหนี้ที่เพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่เร่งตัวจะเป็นปัจจัยบวกต่อรายได้และกำไรของบริษัทในระยะถัดไป ทำให้เราปรับประมาณการกำไรปี 64-65 ขึ้นราว 10% โดยปรับสมมติฐานเงินลงทุนซื้อหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 4.5-5 พันล้านบาท สำหรับปีนี้เป็นต้นไป (เดิม 3.5-4 พันล้านบาท)

โดยปรับราคาเป้าหมายไปใช้ของปี 64 พร้อมปรับสมมติฐานการซื้อหนี้ ทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 30 บาท อิงวิธี DCF มองเด่นสุดในกลุ่ม AMC แนะนำ “ซื้อ”

ความเสี่ยง: สภาวะเศรษฐกิจอาจส่งผลต่ออัตราการจัดเก็บหนี้และกระแสเงินสดและในกรณีที่การซื้อหนี้ของบริษัททำได้ต่ำกว่าที่เราประมาณการไว้ซึ่งอาจมีผลต่อกระแสเงินสด

Back to top button