นายกฯ หนุนแก้ รธน. เตรียมเสนอร่างฯฉบับรัฐบาล ควบคู่-เปิดเวทีรับฟังคนรุ่นใหม่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หนุนแก้ รธน. เตรียมเสนอร่างฯฉบับรัฐบาลควบคู่ พร้อมเปิดเวทีรับฟังคนรุ่นใหม่ เตือนม็อบ น.ศ.เคารพกฎหมาย


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมให้ความร่วมมือการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเรียกร้องของหลายฝ่าย โดยเตรียมจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของรัฐบาลควบคู่ไปกับฉบับของรัฐสภาด้วย เพื่อพิจารณาต่อกันไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือวาระในการเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีอยู่จำกัด จึงจำเป็นต้องหารือร่วมกันว่า การแก้รัฐธรรมนูญจะแก้ตรงไหนอย่างไร จึงต้องฟังคณะกรรมาธิการเสนอมา ส่วนรัฐบาลก็เตรียมเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับรัฐบาล ซึ่งมีเรื่องนี้อยู่แล้ว เชื่อว่าในการเปิดสมัยประชุมครั้งหน้ารัฐสภาก็จะมีการพิจารณาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ และรัฐบาลยืนยันพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่

ส่วนเรื่องการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ นั้น พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะทุกคนรู้ว่ากลไกการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันยืนยันว่า จะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่ต้องแก้ไข ไม่ได้ไปขัดแย้งอะไรกับกรรมาธิการที่จะมีการหารือร่วมกัน ซึ่งเมื่อหารือร่วมกันแล้ว จากนั้นก็ต้องหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อเสนอร่างฯ ควบคู่กันไป ถือเป็นกลไกที่ถูกต้อง จึงอยากขอร้องอย่าให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในช่วงเวลานี้ เพราะเรากำลังแก้ปัญหาหลายอย่างไปด้วยกัน

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่า เป็นห่วงการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา ซึ่งตนได้ให้แนวทางให้มีการเปิดเวทีรับฟังความเห็นโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ภายในเดือนนี้ ส่วนรูปแบบให้ทางกระทรวงไปพิจารณามา อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธตอบคำถามว่าจะไปรับฟังด้วยตัวเองหรือไม่ โดยกล่าวสั้นๆ ว่า ขอดูก่อน

  “ผมกังวลเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องโควิด เรื่องอื่นๆ ผมคิดว่าคนไทยต้องร่วมมือกันทำให้ประเทศมีศักยภาพก่อนในตอนนี้ เพราะเศรษฐกิจจะลดการเจริญเติบโตไปอีกนานพอสมควร เรื่องนี้มันสำคัญด้วยหรือไม่ ผมไม่ได้บอกว่าอะไรสำคัญกว่าใคร…จะชุมนุมอะไรก็แล้วแต่ก็ว่ากันไป สิทธิตามกฎหมายก็ว่ากันไป ต่างคนต่างต้องเคารพกฎมายซึ่งกันและกัน ผมไม่ได้ไปขู่ใครทั้งสิ้น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า จะไม่เข้าไปห้ามปรามกรณีการชุมนุมของนักศึกษาที่มีการละเมิดสถาบัน โดยปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย และที่ผ่านมาได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปพูดคุยทำความเข้าใจ แต่กลับพบว่าบางคนหนักข้อกว่าเดิม ซึ่งถือว่ามีเจตนาไม่บริสุทธิ์

Back to top button