7 หุ้นเด่นน่าเก็บ!

โบรกฯแนะลงทุน 7 หุ้นเด่นประจำไตรมาส 3 พร้อมเตือนการลงทุนยังมีความเสี่ยง 3 ด้านเฝ้าระวังต่อเนื่อง


เส้นทางนักลงทุน

ภาพการลงทุนช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 ที่เหลือเพียง 1 เดือนเท่านั้น ซึ่งยังมีความเสี่ยง 3 ด้านที่จะต้องติดตามต่อเนื่อง คือ 1.ความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดรอบสอง 2.สงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน และ 3.ลักษณะของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำไรตลาดฯ จากผลดังกล่าวน่าจะทำให้ตลาดฯ อยู่ในช่วงพักตัวในกรอบแนวรับ 1,300-1,290 จุด และแนวต้าน 1,340-1,350 จุด

ดังนั้นคงคำแนะนำถือหุ้นน้อยลงราว 20%-25% ของพอร์ตการลงทุน และคงแนะนำนักลงทุนควรถือสินทรัพย์ปลอดภัยราว 80-75% รอกำหนดจุดเพิ่มน้ำหนักรอบใหม่ในช่วงถัดไป หรืออีกกรณีควรเก็บเงินสดเอาไว้ในพอร์ตก่อนจนกว่าจะมีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน

พอร์ตการลงทุนระยะไตรมาสประเมินหุ้น Value / Quality / Laggard จะสลับมา Outperform แต่ระยะยาว High Growth / Recovery จะยังคงเด่น จึงแนะนำผสมผสานพอร์ตเชิง Tactic-Barbell Portfolio Strategy Best Picks ไตรมาส 3 ปี 2563

สำหรับหุ้นแนะนำ ได้แก่ OSP, BEM, INTUCH, BDMS, DOHOME, SPALI และ KCE

บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP นับว่ากระแสเงินสดแข็งแรง นอกจากนั้นมีการปรับกลยุทธ์ หันมาให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทมากขึ้น ได้แก่ M-150 เครื่องดื่มซี-วิต และเบบี้มายด์ รวมถึงเปิดตัวสินค้าใหม่ที่มีราคาในระดับที่เหมาะสม นอกจากนี้บริษัทยังคงเน้นการลดต้นทุนในโครงการ Fit Fast Firm คาดว่าปี 2563 จะลดต้นทุนได้มากกว่า 800 ล้านบาท และได้ประโยชน์จากการลดภาษีสรรพสามิตจาก 10% เป็น 3% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา อีกทั้งคาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ธุรกิจในเมียนมาจะเติบโตมากขึ้นจากการเปิดโรงงานใหม่ ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น

บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ฟื้นตัวต่อเนื่องรับโครงสร้างขนส่งไทยที่ยังมีข้อจำกัดในการเดินทาง นอกจากนี้แนวโน้มผู้ใช้ทางด่วนฟื้นตัวดีต่อเนื่อง อาจฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดว่าจะกลับสู่ระดับปกติในไตรมาส 4/2563 โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1) บริษัทเผยว่าจำนวนผู้ใช้บริการทางด่วนมีการฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่อง โดยคาดเห็นการกลับสู่ระดับปกติอย่างเร็วสุดในเดือน ส.ค.นี้ ขณะที่จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้ายังต้องใช้เวลา โดยอาจเห็นการกลับสู่ระดับปกติภายในสิ้นปี 2563

2) บริษัทยังคงมีความมั่นใจว่าจะชนะประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มีกำหนดยื่นซอง 23 ก.ย.นี้ ซึ่งบริษัทมองว่าไม่มีปัญหาเรื่องการระดมทุนเนื่องจากภาครัฐจะ subsidize ค่างานก่อสร้างโยธาจำนวน 9.6 หมื่นล้านบาท 3) สำหรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ คาดจะเปิดประมูลในช่วงต้นปี 2564 และ 4) ด้านความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ยังต้องรอความชัดเจนเรื่องการแบ่งงานจากกลุ่ม CP ซึ่งจะเข้ามาช่วยเสริมการเติบโตในอนาคตของ BEM

บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ปันผลสูงและกระแสเงินสดมั่นคง พร้อมกับคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2563 ของ INTUCH จะทยอยฟื้นตัวขึ้นจากครึ่งปีแรกจากสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศที่ควบคุมได้ดี ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาปกติมากขึ้น ซึ่งเป็นบวกต่อการฟื้นตัวของรายได้ธุรกิจมือถือของ ADVANC ขณะที่ THCOM คาดยังประคองตัวให้ไม่ขาดทุนหนัก

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูกาล และยังเป็นหุ้น Laggard เป็นตัวแทนของ Value / Quality / Laggard Play นอกจากนี้ ปัจจุบัน BDMS มีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 6 แบรนด์ 49 โรงพยาบาล 8,000 เตียง นับเป็นกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ในปี 2564 และเติบโตดีในระยะยาว

บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เติบโตกับงานก่อสร้างภาครัฐ และกระแสการฟื้นฟูที่อยู่อาศัย พร้อมกับบริษัทมั่นใจว่ายอดขายในปี 2563 จะเติบโตได้จากปี 2562 จากเดิมที่คาดว่าจะหดตัว 10% เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกยอดขายเติบโตขึ้นมาได้เล็กน้อย และช่วงครึ่งปีหลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง (Lockdown) ส่งผลให้บริษัทสามารถกลับมาเปิดให้บริการสาขาขนาดใหญ่ที่มีอยู่ทั้งหมด 10 แห่ง และสาขา Dohome To Go 8 สาขา อีกทั้งยอดขายในสาขาต่าง ๆ ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เนื่องจากธุรกิจที่อยู่อาศัยที่จะฟื้นตัวเด่นในปี 2564 แต่แนะนำทยอยสะสมปีนี้จาก Valuation ดึงดูด ขณะเดียวกันบริษัทคาดว่ายอดโอนจากโครงการคอนโดฯ และ Low-rise จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/2563 และยอดจองจะเพิ่มขึ้นเช่นกันจากการเปิดตัว

บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE เชื่อว่ายังมีจุดเด่นจากจุดเปลี่ยนของยอดขายที่มีโอกาสเข้าสู่ Uptrend จากกลุ่มยูโรเริ่มออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ (EV / PHEV) เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม High Growth / Recovery Play นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 หนุนจาก 1) ยอดขายรถที่ฟื้นตัว 2) การกลับมาเริ่มตุนสต๊อก โดยเฉพาะในส่วนของ PCB และ HDI ที่โต 23% จากงวดเดียวกันของปีก่อนในช่วงไตรมาส 2/2563 และ 3) ลูกค้าใหม่จากอินเดียที่เข้ามาในไตรมาส 4/2563 นอกจาก HDI แล้ว บริษัทยังมองว่าผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูงอื่นยังมียอดขายที่ดีขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ทางทหารที่ขายให้กับสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564

หุ้นข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่มีความน่าสนใจว่าด้วยความมีประสิทธิภาพ!!

Back to top button