K เชื่อปี 64 พลิกกำไร-รายได้แตะ 1.1 พันลบ. ลุ้นผถห.ไฟเขียวล้างขาดทุนสะสม

K เชื่อปี 64 พลิกกำไร-รายได้แตะ 1.1 พันลบ. ลุ้นผถห.ไฟเขียวล้างขาดทุนสะสม


นายชยวัฒน์ พิเศษสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ. จำกัด (มหาชน) หรือ K เปิดเผยว่า บริษัทคาดจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปี 64 หลังจากปีนี้น่าจะยังมีผลขาดทุนสุทธิ เพราะ 9 เดือนแรกขาดทุนไปแล้วราว 95.2 ล้านบาท แต่ขณะนี้ธุรกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นทั้งธุรกิจตกแต่งภายใน (Interiors หรือ INT) และธุรกิจงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ พิพิธภัณฑ์และสวนสนุก การตลาดอื่นๆ (Exhibitions & Events,  Thematic & Museums, Alternative Marketing หรือ EMA)

พร้อมกันนั้น บริษัทยังดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่าย, สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยงานออกแบบ (design) ผ่านการใช้บริการของบริษัทฯ โดยบริษัทจะเปลี่ยนจากผู้รับเหมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับลูกค้า เช่น ปรึกษาร่วมกันเพื่อผลักดันงานของลูกค้าให้ถึงเป้าหมาย อีกทั้งยังมองโอกาสการตั้งทีมย่อยเพื่อทำการวิจัยพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ และในปีหน้าบริษัทฯ จะไม่มีการลงทุนใหม่ ๆ แต่อย่างใด

“เราคาดหวังอยากจะมีกำไรให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งปีหน้าก็น่าจะเป็นไปได้ โดยเราอยากจะมีกำไรในทุกๆ ไตรมาส” นายชยวัฒน์ กล่าว

นายชยวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทวางเป้าหมายรายได้ในปี 64 จะเติบโตมาที่ 1,150 ล้านบาท แบ่งเป็น INT ราว 600 ล้านบาท และ EMA ราว 550 ล้านบาท เนื่องจากสามารถรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังจากในไตรมาส 4/63 จะรับรู้รายได้ราว 25-30% ของ Backlog ที่มีอยู่ 738 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะไปรับรู้ในปี 64

ประกอบกับ บริษัทยังอยู่ระหว่างการยื่นประมูลงานในช่วงที่เหลือของปีมูลค่าราว 691.6 ล้านบาท แบ่งเป็น ของ INT 459.6 ล้านบาท และ EMA จำนวน 232 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทยอยรู้ผลได้ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายนี้เป็นต้นไป ซึ่งในปลายปีนี้น่าจะเห็นในส่วนของ INT ก่อน อย่างไรก็ตามคาดหวังว่าจะได้รับงานในส่วนของ EMA ราว 75% ขึ้นไป และ INT ไม่ต่ำกว่า 25-30%

ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 4/63 น่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากบริษัทเพิ่งได้รับงานตกแต่งภายในเข้ามาในช่วงปลายไตรมาสแล้ว ทำให้น่าจะเห็นการรับรู้รายได้ในปี 64

ขณะที่บริษัทจะมีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ในวันที่ 17 ก.พ.64 โดยหนึ่งในวาระสำคัญคือการล้างขาดทุนสะสมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอดีต โดย K มีส่วนเกินมูลค่าหุ้นอยู่ 277 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสะสมที่เป็นของบริษัทเดี่ยวอยู่ที่ 177 ล้านบาท ซึ่ง บริษัทจะใช้จังหวะนี้ล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อทำให้ในอนาคตหากมีกำไรสุทธิจะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผล

 

Back to top button