คัด 5 หุ้น “สุดแจ๋ว” โบรกฯอัพ “กำไร-ราคาเป้า” ตอกย้ำผลงานปี 64 โตแกร่ง!

คัด 5 หุ้น "สุดแจ๋ว" โบรกฯอัพ “กำไร-ราคาเป้า” ตอกย้ำผลงานปี 64 โตแกร่ง!


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการคัดเลือกหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีนักวิเคราะห์หลายแห่งปรับเพิ่มประมาณการกำไร รวมถึงราคาเป้าหมาย ในปี 2564 เป็นต้นไป เพื่อสอดรับกับการเติบโตของผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนี้

บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ราคาเป้าหมาย 430 บาทต่อ หุ้น โดยยังคงประมาณการกำไรปี 2563 ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท แต่ประมาณการกำไรปี 2564 ขึ้นอีก 11% เป็น 3.9 หมื่นล้านบาท (เดิม 3.5 หมื่นล้านบาท บนสมมติฐานส่วนต่างราคา USD500/ton) จากมุมมองการฟื้นตัวของราคาปิโตรเคมีที่ดีกว่าคาด

โดยส่วนต่างราคา HDPE-Naphtha ปรับเพิ่มมายื่นอยู่ที่ระดับ USD550-600/ton และด้วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศโดยเฉพาะจีน และการเพิ่มขึ้นของ supply ที่ไม่ได้มีมากขึ้น เราจึงเชื่อว่าส่วนต่างราคาจะอยู่ในระดับดังกล่าวได้ตลอดทั้งปี

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 430.00 บาท อิง SOPT หรือเทียบเท่า EV/EBITDA ที่ 10 เท่า และปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” โดยประมาณการกำไรปี 2564 ขึ้น 11% จากธุรกิจปิโตรเคมีทีฟื้นตัวได้เร็วและดีกว่าคาด

ถัดมาที่ บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE ราคาเป้าหมาย 25 บาทต่อหุ้น โดยฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการปี 63 และ 64 แม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบ COVID รอบ 2 แต่บริษัทได้ปรับตัวเป็นการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยล่าสุดสัดส่วนรายได้จากออนไลน์เพิ่มขึ้นจาก 3-5% เป็น 10% อีกทั้งบริษัทได้จัดงาน The legendary of CARAT and JUBILEEs The Best Diamond Gift Fair 2020 เพื่อกระตุ้นยอดขายช่วงปลายปี

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคงคาดการณ์รายได้ปี 63 ที่ 1.62 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทสามารถรับมือกับผลกระทบของ COVID-19 ได้เป็นอย่างดี และปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจาก 46% สู่ 48.4% หลังยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้นและตลอด 9 เดือนมีอัตรากำไรขั้นต้น 48.5% ส่งผลให้ปรับเพิ่มประมาณการปี 63 ขึ้น 51% สู่ 256 ล้านบาท แต่หดตัว 2% จากปีก่อน

ขณะที่ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 64 ขึ้น 8% เนื่องจากคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากการขายช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น แต่คงรายได้ปี 64 ที่ 1.83 พันล้านบาทตามสมมติฐานเดิมเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID รอบ 2

อย่างไรก็ตาม คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมปรับเพิ่มราคาเหมาะสมปี 64 สู่ 25.00 บาท โดยฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วยวิธี PE Ratio อิง Prospective P/E ที่ระดับ 14.7 เท่า (PE Ratio เฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี+1S.D.) เพื่อให้สะท้อนถึงการฟื้นตัวของผลประกอบการ และประเมินกำไรต่อหุ้นปี 64 ที่ 1.7 บาทต่อหุ้น โดยคาดหวังอัตราเงินปันผล 4.0-4.6% ต่อปี

ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI ราคาเป้าหมาย 23.40 บาท/หุ้น โดยมองว่า แม้ผลการดำเนินงานในปี 63 จะอ่อนแอกว่าที่คาดไว้เนื่องจากความล่าช้าในการโอน / การบันทึกรายได้จากปลายปี 63 รวมถึงการปรับลดยอดขายล่วงหน้าบางส่วนเพื่อเพิ่มคุณภาพงานในมือ อย่างไรก็ตาม เราเห็นแนวโน้มที่ดีสำหรับปี 64 ในแง่การเติบโตของรายได้ / กำไรและอัตรากำไรที่ดีขึ้น จากการปรับประมาณการใหม่ การเติบโตของกำไรในปีนี้น่าจะดีดตัวขึ้นอย่างมากเกือบ 40% จากปีก่อน จาก -26% ในปี 63 ขณะที่ราคาเป้าหมายยังคงอ้างอิง P/E เฉลี่ยปี 64 ที่ 8 เท่าและปรับเพิ่มขึ้นเป็น 23.40 บาท (จาก 22 บาท)

ทั้งนี้ การบันทึกรายได้ 2 พันล้านบาทจากยอดโอนคอนโดศุภาลัยโอเรียนทัล สุขุมวิท 39 ถูกเลื่อนจากปลายปี 63 มาปี 64 คาดว่าการเติบโตของรายได้จะสูงกว่า 30% จากปีก่อน ในปี 64

นอกจากนี้เราคาดว่าอัตรากำไรจะดีขึ้นเนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่จากคอนโดมิเนียมที่มีอัตรากำไรสูงและแคมเปญการตลาดที่ลดความร้อนแรงลง / ส่วนลดน้อยลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว พร้อมกันนี้ ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 64-65 ขึ้น 6% ต่อปี แต่ลดของปี 63 ลง 10% ดังนั้นการเติบโตของกำไรในปีนี้น่าจะโดดเด่นเกือบ 40% จากปีก่อน

ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ราคาเป้าหมาย 51 บาทต่อหุ้น โดยฝ่ายวิจัยปรับประมาณการราคาบรรจุภัณฑ์กระดาษขึ้นอีก 3% ในปี 2564 จากอุปทานกล่องและกระดาษแข็งที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 63 Jefferies พันธมิตรด้านงานวิจัยได้ชี้ว่า ราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั่วโลกในช่วงไตรมาส 4/63 เกิดจากอุปสงค์ที่เพิ่มสูงขึ้น และกระดาษแข็งคงคลังที่น้อยลงเป็นตัวกระตุ้นราคาไตรมาส 4/63 ทั้งในแถบสหรัฐฯ,  ยุโรป, ละตินอเมริกา และจีน

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยปรับกำไรสุทธิปี 2564-65 ขึ้นอีก 8% และมีมูลค่าเหมาะสมที่ 51 บาท (จาก 47 บาท) การประมาณการปัจจุบันของเราสูงกว่า consensus อยู่ 10% การประเมินมูลค่าของเรามาจาก EV/EBITDA ที่ 12.5 เท่า, ในช่วง 6.7-15.0 เท่า ของคู่แข่งกลุ่มแพคเกจจิ้งทั่วโลก (ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 10.4 เท่า, หรือ 11.0 เท่า เช่นคู่แข่งในญี่ปุ่น เรายังคงแนะนำให้ “ซื้อ” ส่วนปัจจัยเสี่ยงได้แก่ สภาพเศรษฐกิจถดถอย และการแกว่งตัวของราคาสินค้า และปัจจัยการผลิตต่างๆ

ด้าน บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN ราคาเป้าหมาย 9.10 บาทต่อหุ้น โดยคาดการณ์กำไรหลักไตรมาส 4/63 และทั้งปี 63 ออกมาดี เติบโต +10%/+20% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ กำไรรายปีเป็นสถิติสูงสุดใหม่ ท่ามกลางปัจจัยลบ เช่น โรคระบาด กำลังซื้อที่ชะลอ และมีเกณฑ์ LTV

พร้อมกันนี้ ปรับประมาณการดีขึ้นปีละ 3% ตั้งแต่ปี 63-65 สะท้อนยอดโอน อัตรากำไรขั้นต้นมากขึ้น และบริหารค่าใช้จ่ายได้ดี

อีกทั้งคาดปีนี้เปิดขายเพิ่ม 10% จากปี 63 เน้นบ้านเดี่ยวมากขึ้น ได้ประโยชน์รัฐเพิ่งต่ออายุมาตรการอสังหาฯ ช่วยจูงใจลูกค้า ลดค่าใช้จ่ายการโอนได้ รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายโดยเพิ่มโฆษณาผ่านทางออนไลน์ ดังนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 9.10 บาท โดยมีจุดเด่นคือประสิทธิภาพการทำกำไรสูงเยี่ยม และปันผลดีมาก

Back to top button