“บิ๊กป้อม” ลงพื้นที่ EEC บริหารน้ำรับมือ “ฤดูฝน” ยันไม่กระทบภาคธุรกิจ

“บิ๊กป้อม” ลงพื้นที่ติดตามแผนพัฒนาแหล่งน้ำ – ความพร้อมรับมือฤดูฝนในพื้นที่ EEC มั่นใจไม่กระทบภาคธุรกิจ พร้อมสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเพื่อเตรียมการรับมือและให้การสนับสนุนร่วมไปกับภาครัฐ


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าแผนการพัฒนาแหล่งน้ำและความพร้อมรับมือฤดูฝนปี 2564 ในพื้นที่ภาคตะวันออก ที่จังหวัดระยอง เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์น้ำภาคตะวันออกในปีนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าเป็นห่วงนักแต่ยังต้องเน้นย้ำทุกหน่วยงานบริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามแผน พร้อมสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง เพื่อเตรียมการรับมือและให้การสนับสนุนร่วมไปกับภาครัฐด้วยทั้งมาตรการระยะสั้นจนถึงต่อเนื่องในระยะยาวที่รัฐบาลมีแผนงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

โดยทั้งภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว รวมทั้งภาคเกษตรกรรม การหาแหล่งน้ำต้นทุนให้เพียงพอต่อความต้องการในพื้นที่นี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งได้มีการดำเนินการตั้งแต่ปี 2563-2580 ทั้งสิ้น 38 โครงการ ใน 9 กลุ่มโครงการหลัก ได้แก่ การก่อสร้างแหล่งน้ำใหม่ ปรับปรุงแหล่งน้ำเดิม ก่อสร้างโครงข่ายน้ำใหม่ ปรับปรุงโครงข่ายน้ำเดิม ก่อสร้างระบบสูบกลับ ขุดลอก/แก้มลิงพื้นที่ลุ่มต่ำ บ่อบาดาลอุตสาหกรรม สระเอกชน และการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล เพื่อให้มีปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น 872 ล้าน ลบ.ม. เพียงพอต่อการรองรับการพัฒนาเขต EEC ในอนาคต

ด้านนายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำของภาพรวมในภาคตะวันออกว่า แหล่งน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกมีปริมาณน้ำทั้งสิ้น 1,325 ล้าน ลบ.ม. หรือ 43% ของความจุ แบ่งเป็น แหล่งน้ำขนาดใหญ่ มีจำนวน 6 แห่ง มีปริมาณน้ำใช้การได้ 657 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 66% ของความจุทั้งหมด ส่วนแหล่งน้ำขนาดกลาง มีจำนวน 44 แห่ง มีปริมาณน้ำทั้งสิ้น 517 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 47% และแหล่งน้ำขนาดเล็ก มีจำนวน 14,510 แห่ง มีปริมาณน้ำทั้งสิ้น 258 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 54%

ขณะที่การพัฒนาแหล่งน้ำและโครงข่ายท่อส่งน้ำในภาคตะวันออกในปัจจุบันสามารถเชื่อมโยงแหล่งน้ำต้นทุนผิวดิน อีกทั้งมีการจัดสรรน้ำจากลุ่มน้ำนอกภาคตะวันออกเข้ามาบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

อย่างไรก็ดี สทนช. ได้กำกับเร่งรัดการขับเคลื่อนตามแผนงานโครงการไปแล้ว 17 โครงการ ดำเนินการแล้วเสร็จ 6 โครงการ ได้น้ำเพิ่มขึ้นประมาณ 111 ล้าน ลบ.ม. อยู่ระหว่างก่อสร้าง 11 โครงการคาดว่าแล้วเสร็จภายในปี 2567 จะได้น้ำเพิ่มขึ้นอีก 151 ล้าน ลบ.ม. และได้เสนอให้มีการเร่งรัดโครงการที่สำคัญอีก 12 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาความเหมาะสมของการมีส่วนร่วมกับประชาชน

รวมถึงโครงการที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยให้หน่วยงานปรับแผนดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 จะได้น้ำเพิ่มขึ้น 183 ล้าน ลบ.ม. ได้แก่ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ จ.ระยอง อ่างเก็บน้ำบ้านหนองกระทิง จ.ฉะเชิงเทรา ระบบสูบกลับอ่างเก็บน้ำคลองสียัด จ.ฉะเชิงเทรา เป็นต้น อีก 9 โครงการ สทนช.จะกำกับให้ดำเนินการตามแผนงานของหน่วยงาน โดยแล้วเสร็จภายในปี 2573 จะได้น้ำเพิ่มขึ้น 426 ล้าน ลบ.ม.

Back to top button