FSSIA มอง “อีพีเอส” ปี 65 โต 23% คัด 6 หุ้นพื้นฐานแกร่ง ชู EA-BCH เด่น

FSSIA ประเมิน EPS ของดัชนีในปี 65 เติบโต 23.4% พร้อมคัด 6 หุ้นพื้นฐานแกร่งแนะลงทุนช่วงดัชนีปรับฐานในช่วงที่ผ่านมา


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ มองว่าการอ่อนตัวของ SET Index จากการปรับฐานในช่วงที่ผ่านมาหลังข่าวเรื่อง “โอมิครอน” นั้นเป็นโอกาสดีในการเข้าถือหุ้น และมองว่าการเทขายหุ้นนั้นจะสิ้นสุดลงเร็วๆ นี้ รวมถึงการที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยนั้นมีโอกาสน้อยมาก

ทั้งนี้ เมื่อมองถึงนโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และการเร่งทำ QE นั้นจะส่งผลให้เงินเฟ้ออ่อนตัวลง ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ นั้นจะยังสูงอยู่จนถึงกลางปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่คาดว่าเป็นการสิ้นสุดการลด QE และจะเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น ดังนั้น FSSIA จึงมองว่าขณะนี้เป็นโอกาสดีที่จะลงทุนใน SET Index ซึ่งจากการคาดการณ์นั้น เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว 3-4% ในปี 2565 ผลักดันโดยนโยบายการคลัง และการเงิน ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้บริษัทมีการเติบโตของกำไรอย่างแข็งแกร่ง

พร้อมกันนี้ FSSIA คาดว่า EPS ของ SET Index ในปี 2565 จะเติบโต 23.4% โดยฝ่ายวิเคราะห์เผยถึงโอกาสและความเป็นไปได้ 3 แบบ ที่จะเกิดขึ้นหากเกิดการระบาดของโอมิครอนทั่วประเทศ

โดยในกรณีที่ดีที่สุด (best-case scenario) คาดว่ามีโอกาส 35% ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะได้รับผลกระทบน้อย ไม่มีล็อกดาวน์ และมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 3,000-6,000 ต่อวันในช่วงไตรมาส 1/65 คาดว่า SET Index จะอยู่ราว 1,680-1,742 จุด

สำหรับกรณีเป็นกลาง (base-case scenario) มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 45% จะสามารถควบคุมผลกระทบจากโอมิครอนได้ ไม่มีล็อกดาวน์ และมีผู้ติดเชื้อ 10,000 ต่อวัน SET Index จะเคลื่อนไหวในช่วง 1,660-1,720 จุด

ส่วนกรณีที่แย่ที่สุด (worst-case scenario) มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 20% กรณีที่โอมิครอนระบาดทั่วประเทศ และมีผู้ติดเชื้อเกิน 15,000 คนต่อวัน ทำให้เกิดการล็อคดาวน์ FSSIA คาดว่า SET Index จะอยู่ในช่วง 1,500-1,600 จุด

ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์ FSSIA มองว่าหุ้นมูลค่า (value stocks) จะดีกว่าหุ้นเติบโต (growth stocks) ท่ามกลางเทรนด์การขึ้นดอกเบี้ยในปี 2565 โดยคัดเลือก 6 หุ้นไว้ในบทวิเคราะห์นี้ได้แก่

1.ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ราคาเป้าหมาย 172 บาท

โดยเชื่อว่าธุรกิจของ KBANK ดำเนินไปในทางเดียวกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เนื่องจาก 1) KBANK เป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม และเทคโนโลยี ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นธนาคารที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากยุคดิจิทัลในประเทศไทย และ 2) มีสินเชื่อบุคคลเป็นท็อป 3 ซึ่งเป็นส่วนธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง และมีผลตอบแทนที่น่าดึงดูด แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น จึงทำให้นักลงทุนมักจะให้ค่าพรีเมียมกับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ

 

2.บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ราคาเป้าหมาย 62 บาท

โดย FSSIA คาดกำไร IVL ช่วงไตรมาส 4/64 – ปี 2565 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากมาร์จิ้นผลิตภัณฑ์ และอัตราการใช้กำลังการผลิตสำหรับ IOD, PET-PTA และกลุ่มไฟเบอร์ จากมาร์จิ้น MTBE และ MEG ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งแรงขับเคลื่อนหลักได้แก่ 1) มาร์จิ้น PET-PTA ที่แข็งแกร่งจากยอดส่งออกจีนที่ลดลงสลับกับดีมานด์ที่โตขึ้น 2) มาร์จิ้นโพลีเอสเตอร์ไฟเบอร์ที่ฟื้นตัว 3) อีเทนแครกเกอร์ที่เริ่มดำเนินการในเดือน พ.ย. 2564

 

3.บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT ราคาเป้าหมาย 29 บาท

โดย FSSIA ชอบ SAT จาก 1) คาดว่ากำไรปี 2564 จะแตะนิวไฮ 2) ภาพรวม 2565 ยังคงแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของการผลิตรถ 3) มีออเดอร์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา และ 4) มียีลด์ปันผลน่าดึงดูดที่ 7% นอกจากนั้นแล้วยังคาดว่าในอนาคตจะสามารถจะมีออเดอร์ EV เข้ามาหากมีการผลิตรถ EV ในไทย

 

4.บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ราคาเป้าหมาย 88 บาท

โดย FSSIA มองว่าการเติบโตของกำไรจะเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป และจะดันกำไรปี 2565 โต 19% และกำไรปี 2566 โต 14% จากการเติบโตของโครงการสตาร์ทอัพ S-curve หลายโครงการ ซึ่งรวมถึงการส่งมอบรถบัส EV 200-300 คันในไตรมาส 4/64 และโรงงานแบตเตอรี่ 1GWh เฟสแรกในเดือนนี้ นอกจากนั้นยังจะมีการส่งมอบรถบัส EV อีก 2,000-3,000 ในปี 2565 และการสร้างสถานีชาร์จรถ EV

 

5.บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ราคาเป้าหมาย 28.50 บาท

โดย FSSIA เชื่อว่าหากมีการแพร่ระบาดของโอมิครอนในไทย กลุ่ม healthcare จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ทั้งเรื่องการตรวจเชื้อ การรักษาทั้งในร.พ. และ hospitel และรายได้จากการฉีดวัคซีน ซึ่ง BCH เป็นท็อปพิกสำหรับ FSSIA เนื่องจากมีส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการด้านโควิดที่ใหญ่ที่สุดในช่วงการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า โดยคิดเป็น 56% ของรายได้ในไตรมาสที่ 2 และ 71% ในไตรมาสที่ 3 นอกจากนั้นแล้ว EBITDA margin ยังปรับตัวพุ่งขึ้นถึง 42- 52% ในช่วงดังกล่าว เทียบกับ 27-29% ในช่วงก่อนโควิดระบาด

 

6.บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ราคาเป้าหมาย 25 บาท

ทั้งนี้ แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าสองเท่าตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย.64 แต่เชื่อว่าการเติบโตของกำไรยังคงแข็งแกร่ง และจะยังสูงขึ้นอีกในปี 2565-66 ผลักดันโดย 1) ความชัดเจน และยอดขาย e-bus ที่จะสูงถึง 3,000-4,000 คันในปี 2022 และ FSSIA คาดว่าจะมี e-truck ขายในปีเดียวกันเช่นกัน ซึ่งจะทำให้กำไรสูงขึ้นอีก 2) ดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการจากภาครัฐในการส่งเสริมอุตสาหกรรม EV ที่คาดว่าจะประการออกมาเร็วๆ นี้

Back to top button