โบรกชี้ JR ไตรมาส 2 กำไรพุ่ง หลังตุน “แบ็คล็อก” ทะลุ 1 หมื่นลบ. ชูเป้า 10 บ.

โบรกชี้กำไร JR ในไตรมาส 2/65 กำไรโตแกร่ง ลุ้นคว้างานสายไฟลงดิน “สีเหลือง-ชมพู” 6 พันลบ.  หลังจับมือ “อีเอ-กฟน.” ช่วยหนุน Backlog พุ่งทะลุ 1 หมื่นลบ. คาดทั้งปี65 กำไรแตะ 362 ลบ. แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้า 10 บ.


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (28 เม.ย. 2565) โดยประเมิน บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR ว่า แนวโน้มกำไรของปีที่ผ่านมาเป็นจุดต่ำสุดในไตรมาส 4/2564 ถูกกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 บางส่วนของธุรกิจ

โดยช่วงไตรมาส 1/2565 กลับคาดว่ากำไรปกติอยู่ที่ 51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.7% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนทางรายได้คาดเพิ่มขึ้น 9.7% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 4.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเร่งตัวตามความคืบหน้าของงานที่ดีขึ้น หลังปัญหาแรงงานของผู้รับเหมาฯหลักที่คลี่คลาย

ส่วนงานในมือ (Backlog) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท ส่งผลให้ด้าน Margin คาดฟื้นตัว เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จาก Operating Leverage ขณะที่เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน อาจชะลออยู่บ้างเนื่องจากมีงานบางส่วนในไตรมาส 1/2565 ซึ่งมี Margin สูง อย่างไรก็ตามภาพรวมไตรมาส 1/2565 ถือเป็นจุดเริ่มต้นการฟื้นตัวที่ดีของปีนี้

ขณะที่โมเมนตัมกำไรไตรมาส 2/2565 คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นตามความคืบหน้าของงานที่เร่งตัว หลังจากสะดุดตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2564 และภาพรวมมาตรการควบคุมโควิด-19 ปัจจุบันลดลงจนเป็นปกติ นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยคาดว่า JR มีโอกาสได้งานใหม่ ได้แก่ โครงการเปลี่ยน สายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูเฟสที่ 2 มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท รวมถึงล่าสุดการจับมือกับ EA และกฟน.พัฒนาสถานีชาร์จ EBus รวมถึงการเปลี่ยนอุปกรณ์สื่อสารแนวรถไฟฟ้าสีม่วงใต้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนให้ Backlog ของ JR พุ่งขึ้นทะลุ 1 หมื่นล้านบาท และรองรับการเติบโตยาวถึงปี 2568

นอกจากนี้ประมาณการกำไรปี 2565 อยู่ที่ 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน อาจมี Downside อยู่บ้างจากงานบางส่วนที่ล่าช้ากว่าแผน ซึ่งฝ่ายวิจัยจะประเมินอีกครั้งในช่วงกลางปี โดยปัจจุบันยังคงประมาณการเช่นเดิม

ดังนั้นจากข้อมูลข้างต้นของ JR ยังคงราคาเป้าหมาย 10 บาท (อิง Target PE ที่ 21 เท่า) โดยหากเทียบการเติบโตในปี 2565-2567 เติบโตเฉลี่ย 29% คิดเป็นค่า PEG เพียง 0.72 เท่า ซึ่งถือว่าไม่สูง ขณะที่ราคาหุ้นบนกระดานพักตัวสะท้อนกำไรที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดราคาเร่งขึ้นทุกไตรมาสของปีนี้ รวมถึง Catalyst บวกจากการรับงานใหม่ขนาดใหญ่ในอนาคต จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

Back to top button