โบรกเชียร์ “ซื้อ” BRI ชูหุ้นพีอีต่ำ-ปันผลสูง กำไรปีนี้โตเท่าตัว เคาะเป้า 14.20 บ.

“บล.ฟินันเซีย ไซรัส” เชียร์ซื้อ BRI ชูหุ้นพีอีต่ำ-ปันผลสูง 5% คาดการณ์กำไรปีนี้โต 100% และปี 66 โต 20% เคาะเป้า 14.20 บ.


บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ (16 มิ.ย.65) ประเมินเกี่ยวกับ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ประเมินยอดพรีเซลล์จากไตรมาส 2 จนถึงปัจจุบัน ทำได้ 2.1 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 210 ล้านบาท/สัปดาห์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในไตรมาส 1/65 ที่ 198 ล้านบาท และปี 64 ที่ 174 ล้านบาท แม้ยังไม่มีการเปิดขายโครงการใหม่ในเดือนเม.ย.-พ.ค. แต่ขับเคลื่อนด้วยโครงการเดิมที่มีความคืบหน้าการขายที่ไปได้ดี และโครงการที่เปิดตัวในไตรมาส 1/65 อย่าง Britania Ratchaphruek-Nakhon In มูลค่า 700 ล้านบาท ที่ Take-up rate ขยับขึ้นเป็น 60% จาก 33% ในไตรมาส 1/65

ทั้งนี้ ส่งผลให้ยอดพรีเซลล์ตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท คิดเป็น 41% ของเป้าทั้งปีที่ 1.1 หมื่นล้านบาท โดยมีโครงการรอเปิดตัวในวันที่ 25-26 มิ.ย.นี้อย่าง Britania Amata-Phanthong มูลค่า 2 พันล้านบาท ทำให้คาดว่ายอดพรีเซลล์ไตรมาส 2/65 จบที่ 2.4-2.5 พันล้านบาท (+3% จากไตรมาสก่อน, +19% จากปีก่อน) สำหรับครึ่งหลังของปี 65 บริษัทมีแผนรุกเปิดโครงการใหม่จานวน 10 โครงการ มูลค่ารวม 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยจากช่วงครึ่งแรกของปีก่อนที่เปิด 2 โครงการ มูลค่ารวม 2.7 พันล้านบาท ซึ่งมองว่ายังได้รับการตอบรับดีหนุนโมเมนตัมยอด Presales เร่งขึ้นเด่นในช่วงที่เหลือของปี ทำห้จบปีมีโอกาสสูงกว่าเป้าบริษัทปีนี้ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท และต่อยอดฐานในปี 66

สำหรับทิศทางยอดโอนไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 4/65 คาดไต่ระดับขึ้นต่อเนื่องตามการเปิดโครงการใหม่ ขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น ประเมินส่งผลให้ต้นทุนปัจจุบันเพิ่มขึ้น 8-10% จากปีก่อน แต่มองว่ากระทบไม่มาก โดยมองว่าอัตรากำไรขั้นต้นขายอสังหาฯไตรมาส 2/65 ทรงตัวดีจากไตรมาส 1/65 ที่ 32-33% เนื่องจากหลายโครงการสร้างยอดขายได้ดี ทำให้สามารถปรับราคาขึ้นชดเชยผลกระทบได้ และเป็นต้นทุนเก่าที่มีล็อกราคาไว้ล่วงหน้า

ส่วนครึ่งหลังของปี 65 คาดอัตรากำไรขั้นต้นขายอสังหาฯ อยู่ที่ 31-32% ใกล้เคียงกับปี 64 ทำให้ประเมินว่าทิศทางกำไรปกติไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 4/65 ขยายตัวจากปีก่อน และจากปีก่อนในทุกไตรมาส (ไม่รวมกำไรพิเศษจากการเซ็นสัญญา JV โครงการใหม่ ซึ่งไตรมาส 1/65 บันทึก 144 ล้านบาท) โดยเบื้องต้นคาดกำไรปกติไตรมาส 2/65 ที่ 225 – 245 ล้านบาท (+13% จากไตรมาสก่อน, 49% จากปีก่อน) บนคาดการณ์ยอดโอน 1.35 1.45 พันล้านบาท เป็นระดับสูงสุดรายไตรมาส

ทั้งนี้ BRI มุ่งพัฒนาสินค้าด้วยการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ควบคู่กับนำหลักการ ESG มาประยุกต์ใช้ โดยล่าสุดทยอยเสนอการติดตั้ง Solar Rooftop กับผู้ซื้อในแบรนด์ Grand Britania 7 โครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขาย และโครงการที่เปิดใหม่ในครึ่งหลังของปี 65 ผ่านความร่วมมือของ ORI-GUNKUL ที่ดำเนินกิจการด้านพลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาดในโครงการที่อยู่อาศัย บวกกับอยู่ระหว่างศึกษาการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเริ่มติดตั้งในบ้านตัวอย่างของโครงการ Britania Amata-Phanthong ถือว่าเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้ซื้อบ้านในด้านประหยัดพลังงาน, เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อสินค้าและความได้เปรียบเชิงแข่งขัน

รวมถึงเป็นโครงการสีเขียวที่เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งส่วนของผู้ซื้อโครงการและการพัฒนาโครงการของบริษัทหลังสถาบันการเงินหลายแห่งให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นไปตามเมกะเทรนด์การหันมาใช้พลังงานทดแทน พลังงานสะอาด เพื่อลดภาวะโลกร้อนมากขึ้น สอดคล้องกับแนวทาง ESG ที่จะขับเคลื่อนบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน

ส่วนประเด็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยและภาวะเงินเฟ้อ มองว่ากระทบไม่มาก แม้จะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินและต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น แต่มองว่ามีกลยุทธ์ที่ดีและการบริหารจัดการได้ พร้อมได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม ORI โดยภาระหนี้ไม่สูง IBD/E ไตรมาส 1/65 ที่ 1.06 เท่า ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ยืมจาก ORI และได้รับเงินจาก IPO ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปลายปี 64 ด้านผู้ซื้ออาจส่งผลให้กำลังซื้อชะลอตัว แต่ภาพรวมตลาดแนวราบยังแข็งแกร่ง และสินค้าของ BRI ยังมีความได้เปรียบทั้งด้านทำเลที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ

อาทิ โซนบางนา ซึ่งมีศักยภาพและอัตราการเติบโตสูง บวกกับเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งสามารถสร้างราคาขายที่ Premium ขณะที่ระยะสั้นคาดเป็นส่วนช่วยกระตุ้นผู้ซื้อที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจซื้อ

โดยคงประมาณการกำไรสุทธิปี 65 โตแรง +102% จากปีก่อนที่ 1.2 พันล้านบาท และปี 66 โต 20% จากปีก่อน ซึ่งมองว่าปีนี้มีอัพไซด์ราว 20% หากมีการเซ็น JV ใหม่ในไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 4/65 ซึ่งคาดว่าอย่างน้อย 1 โครงการ/ไตรมาส และบันทึกกำไรพิเศษราว 70 ล้านบาท/ 1 โครงการ ราคาหุ้นจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน -13% Laggard SETPROP -3% ปัจจุบันซื้อขายบน PE ปี 65 ที่ 7.1 เท่า (ต่ำกว่ากลุ่มอสังหาฯที่ 8.5 เท่า) พร้อมคาดให้ปันผล 5.6% ยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 14.20 บาท

Back to top button