โบรกหั่นคำแนะนำ DRT เหลือ “ถือ” เซ่นต้นทุนพุ่ง กดกำไรทั้งปีแตะ 560 ลบ.

“บล.ฟินันเซีย ไซรัส” ปรับลดคำแนะนำหุ้น DRT จากซื้อเป็น “ถือ” หลังเจอปัญหา “ต้นทุน” สูงขึ้น พร้อมลดประมาณกำไรปี 65 อีก 7 % เหลือ 560 ล้านบาท


บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินภาพรวม บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ช่วงไตรมาส 2/65 รับแรงกดดันจากปัจจัยฤดูกาลที่เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน และมีวันหยุดยาวจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การนำเสนอสินค้าที่หลากหลายผ่านทุกช่องทางขาย, แบรนด์ และฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งควบคู่กับส่วนแบ่งการตลาดที่สูงขึ้นหลังคู่แข่งบางรายหายไป

รวมถึงการทยอยปรับราคาขายเฉลี่ย 3-4% เพื่อสะท้อนต้นทุน ทำให้คาดว่ายอดขายอยู่ระดับน่าพอใจใกล้เคียงกับไตรมาส 1/65 และโต 5% จากปีก่อนที่ 1.4 พันล้านบาท จากทั้งปริมาณขายสามารถโตจากปีก่อน และราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น โดยเทียบจากปีก่อนยอดขายขยายตัวในเกือบทุกช่องทางขาย

โดยเฉพาะช่องทางโครงการอสังหาฯที่ฟื้นตัวดีจากฐานต่ำ รองลงมาเป็น Agent และ Modern Trade ยกเว้นช่องทางส่งออกที่ลดลงเล็กน้อยจากค่าระวางที่สูงและปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นทั้งราคาวัตถุดิบและพลังงานเป็นปัจจัยกดดันทำให้คาดอัตรากำไรขั้นต้นขยับลงเป็น 28% จากไตรมาส 1/65 ที่ 28.5% และไตรมาส 2/64 ที่ 31.1% ส่งผลให้ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 ที่ 181 ล้านบาท (ลดลง 6% จากไตรมาสก่อน, เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อน)

ทั้งนี้ สถานการณ์ครึ่งหลังของปีนี้มีแรงกดดันจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทั้งต้นทุนวัตถุดิบ (51% ของต้นทุนรวม) หลักๆ จากซีเมนต์, แร่ใยหิน และเยื่อกระดาษ ซึ่ง YTD กระทบต้นทุนรวมเพิ่มขึ้น 7% รวมถึงต้นทุนพลังงาน (7% ของต้นทุนรวม) ขณะที่ยังมีปัจจัยท้าทายจากภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลต่อกาลังซื้อ ทำให้มองว่าจะเป็นประเด็นจำกัดการปรับราคาขายควบคู่กับพิจารณานโยบายราคาขายของคู่แข่งในตลาด ซึ่งอาจสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ทั้งหมด คาดกดดันอัตรากำไรขั้นต้นและผลประกอบการครึ่งหลังของปีนี้ลดลงเทียบกับครึ่งปีแรก และเทียบกับปีก่อน

พร้อมปรับสมมติฐานปีนี้ด้วยมุมมองระมัดระวังขึ้น โดยปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 26.8% จากเดิม 28% แต่คงคาดยอดขายโต 5% จากปีก่อนที่ 5 พันล้านบาท ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ปรับลดจากเดิม 7% เป็น 560 ล้านบาท ลดลง 4% จากปีก่อน โดยหากกำไรไตรมาส 2/65 ตามคาด ครึ่งแรกของปี 65 คิดเป็น 67% ของคาดการณ์ทั้งปี

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยปรับราคาเหมาะสมลงจากเดิม 8.50 บาท เป็น 7.90 บาท (อิง PER เดิม 12 เท่า) สะท้อนการปรับลดประมาณการราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside จำกัด บวกกับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3-4/65 ไม่สดใสจากปัจจัยฤดูกาลและเผชิญอุปสรรคต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบ จึงลดคำแนะนำจากซื้อเป็น “ถือ” โดยคาดจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งแรกของปี 65 ที่ 0.22 บาท/หุ้น คิดเป็นยีลด์ 3% ส่วนทั้งปีนี้ที่ 0.46 บาท/หุ้น ยีลด์ 6.3% ขณะที่ประเด็นพม่าห้ามชำระหนี้ต่างประเทศกระทบจำกัด เนื่องจากมีสัดส่วนเพียง 1% ของยอดขายรวมและขายเป็นสกุลเงินบาท

อย่างไรก็ตาม Key Risk คือผลกระทบราคาวัตถุดิบมากกว่าคาด โดยประเมิน Sensitivity อัตรากำไรขั้นต้นที่เปลี่ยนไปทุกๆ 50 bps ส่งผลต่อประมาณการกำไรปีนี้ 4% และราคาเหมาะสม 0.30 บาท/หุ้น ทั้งนี้บริษัทจะรายงานงบไตรมาส 2/65 วันที่ 10 ส.ค.นี้

Back to top button