เปิดโผ 20 หุ้นบลูชิพ ชนะ SET รอบ 7 เดือน ชู PTTEP ทะยาน 38%

คัด 20 หุ้นบลูชิพ ชนะ SET รอบ 7 เดือน (30 ธ.ค.64 - 27 ก.ค.65) ได้แก่ PTTEP, BH, BANPU, KTB, MINT, BDMS, AOT, CRC, CPN, JMT, BBL, AWC, EGCO, CPALL, TOP, GULF, BEM, KBANK, BLA และ IVL ยก PTTEP ทะยานสุด 38% 


ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (30 ธันวาคม 2564 – 27 กรกฎาคมปี 2565) ยังอยู่ในโหมดของการผันผวน โดยเห็นได้จากดัชนี SET ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2564 ปิดอยู่ที่ระดับ 1,657.62 จุด ปรับตัวลดลงมาที่ 1,576.41 จุด ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ลดลง 81.21 จุด หรือลดลง 4.89% เนื่องจากในช่วงดังกล่าวได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19, การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ, บาทอ่อนค่าทะลุ 36 บาทต่อดอลลาร์ และยังมีความกังวลเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นพื้นฐานแกร่งสวนราคาปรับตัวลงแรงเกินพื้นฐานในช่วงที่ผ่านมา

ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET50 ในช่วงดังกล่าวมานำเสนอเพื่อให้เห็นทิศทางและเป็นโอกาสเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งเข้าพอร์ต โดยได้ทำการเรียบเรียงลำดับข้อมูลราคาหุ้นปรับขึ้นมากสุดไปหาน้อยสุด ทั้งนี้เปรียบเทียบข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2564 – 27 กรกฎาคมปี 2565 ตามตารารางประกอบดังนี้

โดยหุ้นทั้ง 20 ตัว ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสวนภาวะปัจจัยรอบด้านที่กดดันตลาดอย่างหนัก อาทิ PTTEP, BH, BANPU, KTB และ MINT

สำหรับ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 118 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 162.50 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 44.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 37.71% ทั้งนี้ราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ คาดมีโอกาสขึ้นไปทดสอบราคาเป้าหมายที่โบรกประเมินไว้

บล.พาย ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” PTTEP ราคาเป้าหมาย 179 บาท มีมุมมองภาพรวมไตรมาส 2/2565 เป็นบวกเพราะคาดกำไรสุทธิจะโตขึ้นทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ประเมินว่าการเริ่มผลิตก๊าซจากโครงการ G1/61 และ G2/61 (ประเทศไทย) จะช่วยหนุนการเติบโตของยอดขายได้ 10% ส่วนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอาจเข้ามาช่วยกระตุ้นราคาขายเฉลี่ยขึ้น

ส่วน บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 141 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 182 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 51 บาท หรือเพิ่มขึ้น 29.08% สำหรับราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ คาดมีโอกาสขึ้นไปทดสอบราคาเป้าหมายที่โบรกประเมินไว้

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” BH ราคาเป้าหมาย 222 บาท ซึ่งคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/2565 จะอยู่ที่ 723 ล้านบาท เติบโต 234% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนปี 2565 อยู่ที่ 3,043 ล้านบาท เติบโต 150% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และปี 2566 จะอยู่ที่  3,919 ล้านบาท เติบโต 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จาก Organic growth และ Pent up demand

ขณะเดียวกัน บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 10.60 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 13.40 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.80 บาท หรือเพิ่มขึ้น 26.42% ทั้งนี้ราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ คาดมีโอกาสขึ้นไปทดสอบราคาเป้าหมายที่โบรกประเมินไว้

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” BANPU ราคาเป้าหมาย 15 บาท โดยคาดกำไรไตรมาสสุทธิ 2/2565 เติบโตโดดเด่น ขยายทั้งจากไตรมาสก่อน และจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากแนวโน้มราคาถ่านหินที่ยังคงแกว่งตัวในระดับสูง จากความต้องการจากจีน (ผู้ใช้ถ่านหิน อันดับ 1) สูงขึ้นหลังช่วง Post-lockdown และคาดประเทศในยุโรปจะเร่งการใช้ถ่านหินมากขึ้นจากภาวะการขาดแคลนก๊าซ

นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ราคาหุ้นยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 13.20 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 15.90 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.70 บาท หรือเพิ่มขึ้น 20.45% ทั้งนี้ราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ คาดมีโอกาสขึ้นไปทดสอบราคาเป้าหมายที่โบรกประเมินไว้

บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” KTB ราคาเป้าหมาย 18 บาท คาดแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2565  จะเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการตั้งสำรองฯที่ลดลง ทำให้มีการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิในปี 2565 เพิ่มขึ้น 4% ส่วนปี 2566 เพิ่มขึ้น 3% จากการปรับ Credit cost และ Cost to Income ลดลง จึงทำให้คาดกำไรสุทธิในปี 2565 อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 38% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ด้าน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 28.75 บาท ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 33.50 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.75 บาท หรือเพิ่มขึ้น 16.52% สำหรับราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ คาดมีโอกาสขึ้นไปทดสอบราคาเป้าหมายที่โบรกประเมินไว้

บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” MINT ราคาเป้าหมาย 41 บาท โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/2565 จะอยู่ที่ 1,031 ล้านบาท พลิกมีกำไรหลังจากขาดทุน ได้ประโยชน์โดยตรงจากภาคท่องเที่ยวที่เริ่มกลับเข้าสู่ปกติโดยเฉพาะโซนยุโรป ส่วนธุรกิจร้านอาหารก็ได้แรงหนุนจากร้านอาหารในไทยหลังกลับมาเปิดให้นั่งทานในร้านได้ตามปกติ สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 2565 คาดจะยังเห็นการฟื้นตัวต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าปีนี้มีโอกาสพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ที่ 2,392 ล้านบาท หลังขาดทุนต่อเนื่องในปี 2564 และปี 2563

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button