ยกกลุ่มรพ. “Overweight” ชู BH ท็อปพิก รับผู้ป่วยต่างชาติฟื้นเร็ว!

แนะเก็บ BH, BDMS, PR9, EKH, BCH, CHG โบรกชี้ “Overweight” ชู BH ท็อปพิก อานิสงส์ผู้ป่วยต่างชาติฟื้นตัวเร็วและดีกว่าคาด


บริษัท หลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า โรงพยาบาลที่มีสัดส่วนต่างชาติยังคงน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก Pent-up demand ยังอยู่ในระดับสูง จากผลกระทบของโควิด และมาตราการปิดประเทศทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเดินทางมารักษาได้ทำให้มีจำนวนผู้ที่อยากเดินทางมารักษาที่ประเทศไทยมีจำนวนมาก เนื่องจากสวัสดิการที่ดีและเหมาะสมกับราคาจึงทำให้โรงพยาบาลเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการรักษาโรคต่างๆ

โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง และ CLMV จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือน ก.ค. 65 จากตะวันออกกลาง และ CLMV อยู่ที่ 66,252 คน และ 188,114 คน ซึ่ง เทียบกับก่อนโควิดในเดือน ก.ค. 62 อยู่ที่ 98,610 คน และ 394,639 คน และช่วงเริ่มต้นของการ ระบาดโควิดในต่างประเทศช่วงเดือน ธ.ค. 62 อยู่ที่ 57,487 คน และ 356,364 คน ซึ่งทำให้ทางฝ่ายวิจัยเห็นว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติ Pent-up demand ในประเทศยังอยู่ในระดับสูง

นอกเหนือจากรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่ฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว ผู้ป่วยในประเทศฟื้นตัวเช่นกัน จากความอัดอั้นในช่วงโควิดที่ผ่านมา จึงทำให้เคสผ่าตัดบางส่วนถูกเลื่อนออกไป เพื่อให้สอดคล้องกับมาตราการป้องกันการแพร่ระบาดโควิดของภาครัฐ นอกจากนั้นคนส่วนมากเลี่ยงการเข้าโรงพยาบาลเพราะมองว่าเป็นแหล่งรวมเชื้อและสามารถติดเชื้อโควิดได้จึงทำให้ไม่สามารถตรวจสุขภาพต่อเนื่อง จึงทำให้หลังจากสถานการณ์โควิดดีขึ้นแล้วนั้นการตรวจสุขภาพจึงเป็นความสำคัญลำดับต้นๆของผู้คนทั่วไปเพื่อไม่ให้ประวัติการตรวจสุขภาพขาดตอนนานจนเกินไป โดยส่วนมากจะพบว่าเกิดโรคหรือเข้าข่ายเสี่ยงทำให้ต้องเข้ารับการรักษาต่อเนื่อง

สำหรับไตรมาส 3/65 ยังถือเป็นช่วง High season ของธุรกิจโรงพยาบาลที่ได้ผลประโยชน์ปัจจัยฤดูหน้าฝน จากสถิติพบว่าตั้งแต่ 1 ม.ค. – 10 ส.ค. 65 มีผู้ป่วยไข้เลือดออกจำนวน 16,276 ราย เสียชีวิต 14 ราย ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกันถึง 2.2 เท่า ปัจจัยดังกล่าวจึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในแรงหนุนของรายได้กลุ่มโรงพยาบาล

อย่างไรก็ดีแนวโน้มครึ่งปีหลัง 65 โรงพยาบาลที่เคยได้รับอานิสงส์จากโควิด จะมีรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากความรุนแรงและตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่นั้นหดตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เฉลี่ยอยู่ที่ 1,500 รายต่อวัน ในขณะที่ช่วงระบาดรุนแรงของโอมิครอนมีจำนวนเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 รายต่อวัน มากไปกว่านั้นอาการของการติดเชื้อโควิดในปัจจุบันนั้นมีอาการที่อันตรายน้อยลงเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อน จึงทำให้ Home isolation เป็นทางเลือกหลักสำหรับผู้ป่วยโควิดเคสสีเขียว จึงทำให้มีการเข้ารักษาโควิดที่โรงพยาบาลน้อยลง

ขณะเดียวกัน Hospitel ที่เคยเป็นแหล่งที่มาของรายได้นั้นส่วนมากได้ถูกปิดตัวลงแล้ว สำหรับเคสสีเหลืองนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่ม 608 และผู้ป่วยสูงอายุซึ่งทั้งนี้เป็นผลมาจากโรคแทรกซ้อนที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหรือต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ในภาพรวมถึงแม้ว่าสถานการณ์ที่ดีขึ้นของโควิดนั้นจะทำให้ Inorganic growth ที่เป็นผลจากโควิดนั้นหายไป แต่จะถูกแทนที่ด้วยโอกาสที่ Organic growth ในสถานการณ์ปกตินั้นกลับคืนมา

โดยทางฝ่ายวิจัยประเมินผลประกอบการกลุ่มในไตรมาส 3/65 ชะลอตัวทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จากผลประกอบการกลุ่มโรงพยาบาลที่เคยได้อานิสงส์จากโควิดชะลอตัวหลังรัฐปรับมาตรการการชดเชยค่ารักษา, ยกเลิก Hospitel และ Home Isolation ด้านผลประกอบการของโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติสูง อาทิ BH, BDMS, PR9 ยังคงเห็นการเติบโตต่อเนื่องทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จากผู้ป่วยต่างชาติที่ขยายตัว และ GPM ที่เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติซึ่ง มี GPM สูงเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ยังคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มโรงพยาบาลเป็น “มากกว่าตลาด” เพราะจะมีโอกาสของการกลับมาในเชิง Organic growth และมาทดแทนในส่วนของ Inorganic growth ที่หายไปจากสถานการณ์โควิดที่ดีขึ้น โดยจะมีโอกาสเปิดรับผู้ป่วยต่างชาติในรูปแบบของ Medical tourism โดยมีผู้ป่วยที่เดินทางมาจากตะวันออก กลางและ CLMV เป็น Revenue driver หลักของกลุ่มโรงพยาบาล โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติจากมาก-น้อย ได้แก่

1) BH: คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 245 บาท โดย BH มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติระดับปกติอยู่ที่ 67% ในขณะปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ต่างชาติอยู่ที่ 62% มองว่าปี 65-66 จะเห็นสัดส่วนต่างชาติอยู่ที่ 65% และ 67% ตามลำดับ

2) BDMS: คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 35.50 บาท โดยคาดกำไรปี 65 โต 18% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการกลับมาของลูกค้าต่างชาติส่งผลให้ทางฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเห็นสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาใกล้เคียงระดับปกติที่ 25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 23% ของรายได้รวม และ GPM ปี 65 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 35% จาก 34.5% จากนโยบายควบคุมต้นทุนของบริษัทในปี 64

3) PR9: คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 19 บาท โดยคาดกำไรปี 65 โต 68% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลที่ไม่ได้เน้นรายได้จากโควิดเหมือนโรงพยาบาลอื่นๆ ทำให้การฟื้นตัวในปี 65 มาจากฐานต่ำในปี 64 โดย Key catalysts ปี 65 คือ ผู้ป่วยชาวเมียนมาร์ที่สัดส่วนรายได้สูงถึง 10% ของรายได้รวมปี 62 ซึ่งปัจจุบันประเทศเมียนมาร์ยังมีสงครามภายในประเทศอยู่

4) EKH: คงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายที่ 8 บาท สำหรับ Key catalysts ของ EKH ในปี 65 คือ ลูกค้า IVF จากประเทศจีน โดย Demand จากประเทศจีนจะถูกโดยนโยบายการมีลูกคนที่ 3 แต่อย่างไรก็ตามทางฝ่ายวิจัยคาดลูกค้า IVF จะค่อยๆกลับมาฟื้นตัว โดยจะเห็นการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง 65 ซึ่งลูกค้าจีนอยู่ราว 10% ของรายได้รวมปี 62

5) BCH: คงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายที่ 20 บาท โดยผู้ป่วยทั่วไปฟื้นตัวในส่วนของ World Medical Hospital (WMC) โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลางและอาเซียน หลังมีการจับมือกับสถานทูตของประเทศต่างๆ

6) CHG: คงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายที่ 4.10 บาท ปัจจุบันมีสัดส่วนกลุ่มผู้ป่วย CLMV เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการทำการตลาดในกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ทำให้มีผู้ป่วย CLMV และ กลุ่มตะวันออกกลาง เข้ารับการรักษาเพิ่มมากขึ้น รักษาโรคหัวใจและทางเดินอาหาร โดยมีการตรวจสุขภาพเป็นขั้นพื้นฐาน

Back to top button