EA จับมือ “ไทย สมายล์” สยายปีก “บัส-เรือไฟฟ้า” เล็งลงทุนเพิ่ม 6 เส้นทาง

EA ดึง “ไทย สมายล์ บัส” ควบรวมกิจการ “รถ-เรือ” ไฟฟ้า เตรียมลงทุนเพิ่มอีก 6 เส้นทาง นำร่องปล่อยลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมสะสมคาร์บอนเครดิต เป็นรายแรกและใหญ่ที่สุดในเอเชีย


นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานสะอาดและด้านยานยนต์ไฟฟ้า กล่าวว่า EA มีจุดยืนที่ชัดเจนที่จะพัฒนาและส่งเสริมการนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและ PM2.5 ตลอดจนลดต้นทุนพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถเพื่อการพาณิชย์ที่มีการใช้งานสูง เช่น รถโดยสารประจำทาง รถบรรทุก เป็นต้น EA ได้มองเห็นศักยภาพของ BYD ซึ่งมีการลงทุนใน บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด อันเป็นกลุ่มบริษัทที่เป็นเจ้าของใบอนุญาตให้บริการรถโดยสารประจำทางจากกรมการขนส่งทางบกจำนวนรวมสูงถึง 80 เส้นทาง และกำลังจะลงทุนเพิ่มอีก 6 เส้นทาง

โดยมุ่งเน้นให้บริการด้วยรถโดยสารไฟฟ้าเป็นหลัก จึงนับว่ามีวิสัยทัศน์และแนวคิดที่สอดประสานกันกับกลุ่ม EA อย่างลงตัว จึงตัดสินใจนำบริษัทย่อยเข้าลงทุนใน BYD ร้อยละ 23.63 คิดเป็นมูลค่าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 6,997 ล้านบาท และมีการจัดโครงสร้างด้วยการขายกลุ่มธุรกิจให้บริการรถโดยสารในเครือ EA จำนวน 37 เส้นทาง และเรือโดยสาร 3 เส้นทางให้แก่ไทย สมายล์ บัส เพื่อให้มีการควบรวมกิจการในคราวเดียวกัน ส่งผลให้กลุ่มไทยสมายล์มีสายการเดินรถในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 120 เส้นทาง และเรือโดยสารอีก 3 เส้นทาง นับเป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่เสริมศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้าของกลุ่ม EA ให้ครบวงจรอย่างแท้จริง และยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างโอกาสทางธุรกิจจากการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าของบริษัท แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี จำกัด ให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดและมั่นคง

อีกทั้ง EA ได้ร่วมมือกับ BYD ในโครงการขายคาร์บอนเครดิตกับรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งจะสามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมขึ้นอีกในอนาคตได้ ส่งเสริมให้กลุ่ม EA เป็นผู้นำทางด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบวงจร

ด้าน นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมอย่างเต็มที่ ที่จะเดินหน้าลงทุนในกิจการรถโดยสารและเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าตามแผนที่วางไว้ โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก BYD ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในรูปเงินให้กู้ยืมถึง 8,550 ล้านบาท และยังได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ทั้งในด้านเทคโนโลยี บุคลากร การวางแผนกลยุทธ์ การบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ และการสนับสนุนในทุกๆ ด้านที่สอดประสานกันอย่างเป็นระบบ ทำให้ไทย สมายล์ บัสเชื่อมั่นว่า จะสามารถขยายการให้บริการแก่ประชาชนเพื่อตอบโจทย์ให้ทันใจต่อความต้องการของผู้ใช้บริการได้ตามแผน ทั้งนี้ ได้ประมาณการไว้ว่าต้องใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้นอีกกว่า 18,000 ล้านบาท และสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้กับพี่น้องประชาชน มากกว่า 7,500 ตำแหน่ง

โดยจะเป็นผู้นำในการพลิกโฉมการให้บริการขนส่งมวลชนสาธารณะของกรุงเทพฯ และปริมณฑลให้เป็นเครือข่ายของระบบให้บริการขนส่งมวลชนด้วยยานยนต์ไฟฟ้าที่ไร้มลพิษและไร้ PM2.5 มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และครบวงจรเป็นประเทศแรกและใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยการให้บริการเส้นทางเดินรถและเดินเรือจำนวนกว่า 120 เส้นทาง

“อีกทั้งเราได้นำเทคโนโลยีมาใช้เชื่อมต่อการเดินทางและการเก็บค่าโดยสารทางบกและทางน้ำเป็นโครงข่ายเดียวกัน  (หรือ Single Network) ครอบคลุมพื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล  ยกระดับคุณภาพการให้บริการและจัดระบบการควบคุมได้อย่างรัดกุมแบบรวมศูนย์ หรือ (Single Service) และจะนำระบบการคิดค่าโดยสารแบบเหมาจ่าย ภายในโครงข่ายของกลุ่มไทยสมายล์ (หรือ Single Price) เพื่อลดภาระของผู้โดยสาร แนวคิด 3-Single นี้  จะนำไปสู่การสร้างคุณค่าให้กับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยทุกคนต่อไป” นางสาวกุลพรภัสร์ กล่าว

ขณะที่ปัจจุบัน กลุ่มไทยสมายล์เปิดให้บริการรถโดยสารสาธารณะแล้ว กว่า 70 เส้นทาง หรือกว่า 900 คัน โดยแบ่งเป็น รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า 35 เส้นทาง หรือจำนวนรถที่บริการ 612 คัน และรถโดยสารสาธารณะเอ็นจีวี 37 เส้นทาง หรือคิดเป็นจำนวนรถที่ให้บริการ 365 คัน เป็นวันที่เปิดให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าสาย 515  เส้นทาง ศาลายา – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับและการสนับสนุนจากผู้โดยสารเป็นอย่างดีดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา และจากเสียงสะท้อนที่แสดงถึงความพึงพอใจในการใช้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า 100% ของเรา กลุ่มไทยสมายล์จึงมีความยินดีที่จะแจ้งว่า เรามีแผนที่จะเปลี่ยนรถโดยสารทั้งหมด เป็นรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นไป

สำหรับการเดินทางทางน้ำ  กลุ่มไทยสมายล์  จะให้บริการเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า  ตามลำน้ำเจ้าพระยาจำนวน 3 เส้นทางหรือ 23 ลำ และในอนาคตอันใกล้จะมีเรืออีก 17 ลำ มาให้บริการเพิ่มเติม อันจะส่งเสริมการเชื่อมต่อการเดินทางทั้งทางบก และทางน้ำของผู้โดยสารอย่างไร้รอยต่อ ประหยัดเวลาในการเดินทาง และยังลดภาระค่าครองชีพอีกด้วยรวมไปถึง บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อม ที่จะนำระบบการชำระค่าโดยสารด้วยบัตร HOP มาติดตั้งและเริ่มใช้งานจริง นอกจากจะเป็นการส่งเสริมสังคมไร้เงินสด  (Cashless Society) แล้วยังเป็นการปูทางสำหรับโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีด้านการจ่ายเงิน (Single Price) สำหรับการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ ในโครงข่ายของไทยสมายล์กรุ๊ปกว่า 120 เส้นทาง

ทั้งนี้ กลุ่มไทยสมายล์จะเป็นผู้นำ ในการพลิกโฉมรถและเรือโดยสาร  ในระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่ทันสมัย  เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ ก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งจะทำให้กลุ่มไทยสมายล์สามารถขึ้นทะเบียนและรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก หรือคาร์บอนเครดิตที่มีมูลค่าที่จะซื้อขายได้ในอนาคตอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการ  ค่าโดยสารอยู่ในระดับที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ตอบโจทย์ทุกการเดินทางของประชาชน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยทุกคน อย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของบริษัทฯ “เดินทางด้วยรอยยิ้ม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม”

Back to top button