“บีโอไอ” ย้ำไทยมีศักยภาพ “ฐานลงทุนต่างชาติ” ไม่แพ้เวียดนาม

เลขาธิการบีโอไอ แจงไทยยังน่าลงทุน ไม่แพ้ชาติอื่นในอาเซียน แต่ที่นักลงทุนหันไปที่เวียดนาม เหตุเป็นเพราะกลไกปกติของการพัฒนาเศรษฐกิจ


นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า จากกรณีตัวเลขการลงทุนตรงจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอ  ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เวียดนามมากกว่าไทย 3 เท่าตัว โดยในเรื่องนี้ถ้ามองมาที่ภูมิภาคอาเซียน ประเทศที่มีขีดความสามารถในการดึงดูดการลงทุน จะมีอยู่ 5 ประเทศหลัก คือ ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ละประเทศจะมีจุดแข็ง จุดอ่อนแตกต่างกันไป และอาจเหมาะกับประเภทธุรกิจที่ต่างกัน

ทั้งนี้ลักษณะการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนามหรืออินโดนีเซีย อยู่ในช่วงกำลังขยายตัวเหมือนไทยในอดีต อีกทั้งเวียดนามยังมีแรงงานจำนวนมากและค่าแรงต่ำ ค่าที่ดินถูกกว่า เห็นได้จากกลุ่มที่มีการลงทุนสูงในเวียดนาม อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นและแข่งขันกันที่ต้นทุนเป็นหลัก ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก ค้าส่ง ซ่อมจักรยานยนต์ โรงไฟฟ้า โดยเวียดนามยังใช้ถ่านหินกว่า 30%

อย่างไรก็ดีอีกส่วนหนึ่งที่ขยายตัวก็เป็นการไปลงทุนของบริษัทไทย เป็นกลไกปกติของการพัฒนาเศรษฐกิจ เมื่อธุรกิจในประเทศโตและแข็งแรงถึงจุดหนึ่ง ก็จะต้องไปขยายการลงทุนในต่างประเทศ ขณะที่กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ ในไทยโตมาระดับหนึ่งแล้ว และไทยกำลังต้องการยกระดับห่วงโซ่มูลค่าและคุณภาพของการลงทุนให้สูงขึ้น

ทว่าในปัจจุบันประเทศไทยมีความโดดเด่นในสายตานักลงทุนหลายด้าน ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ ฐานซัพพลายเชนที่ดีที่สุดในภูมิภาค โดยเฉพาะผู้ผลิตวัตถุดิบและชิ้นส่วนรองรับอุตสาหกรรมต่างๆ บุคลากรมีขีดความสามารถ สิทธิประโยชน์ที่แข่งขันได้ นอกจากนี้ ยังมีจุดแข็งใหม่ที่จะมีความสำคัญต่อการดึงการลงทุนในอนาคต อาทิ ความสามารถในการจัดหาพลังานสะอาดให้กับภาคอุตสาหกรรม การเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ มีความมั่นคงปลอดภัยสูง มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศต่างๆ การบริหารจัดการวิกฤตโควิดที่มีประสิทธิภาพและไม่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ

ขณะที่ล่าสุดบีโอไอได้มาตรการใหม่ๆ ที่จะเพิ่มแรงดึงดูดการลงทุนไทยยิ่งชงขึ้น อาทิ มาตรการรักษาและขยายฐานการผลิตเดิม (Retention and Expansion Program) มาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจ (Relocation Program) และมาตรการ LTR เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงให้เข้ามาช่วยเราพัฒนาประเทศ

สำหรับที่ผ่านมามีหลายสาขาที่ประเทศไทยมีความโดดเด่นในการดึงดูดการลงทุน และเป็นผู้นำระดับภูมิภาค อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์ โดยเฉพาะความก้าวหน้าในการดึงการลงทุนด้านอีวีที่กำลังไปได้ดี หรืออุตสาหกรรมดิจิทัล ที่บริษัทชั้นนำใช้ไทยเป็นฐานหลักในภูมิภาค อาทิ หัวเว่ย , อะโกด้า และล่าสุด แอมะซอน เว็ป เซอร์วิส ประกาศลงทุนกิจการ ดาต้า เซ็นเตอร์ และ คลาวด์ เซอร์วิส ในไทย มูลค่าสูงถึง 1.9 แสนล้านบาท ในระยะ 15 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม มีหลายปัจจัยที่ไทยต้องพัฒนาให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคต อาทิ บุคลากรด้านระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ บุคลากรด้านดิจิทัล นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเอฟทีเอ ที่กระทรวงพาณิชย์กำลังเร่งกระบวนการเจรจากับสหภาพยุโรปด้วย

Back to top button