
“บล.บัวหลวง” เปิด 3 ฉากทัศน์ หากไทยเจอภาษี 36% ดัชนีอาจร่วงแตะ 980 จุด
“บล.บัวหลวง” ประเมินผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่อไทยใน 3 ฉากทัศน์ หากถูกเก็บภาษี 36% สูงกว่าเวียดนาม SET เสี่ยงดิ่งแตะ 980 จุด ส่วน EPS ลดเหลือ 73 บาท พร้อมแนะทยอยสะสมหุ้นปันผลสูง-กลุ่มฟื้นตัว
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ภายใต้ 3 ฉากทัศน์หลัก โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้ของบริษัทที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นเพียง 0.9% ของรายได้รวม (เฉพาะหุ้นใน Coverage ของ BLS) ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มส่งออกอาหาร เช่น TU และ ITC กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่าง DELTA, KCE, HANA รวมถึงกลุ่มยางพารา STA และ STGT
ทั้งนี้ หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตราใกล้เคียงเวียดนามที่ 18% (Base Case) ผลกระทบจะอยู่ในระดับจำกัด โดยประเมิน GDP ปี 2568 โต 1.4%, EPS อยู่ที่ 82 บาทต่อหุ้น และ SET Target ที่ 1,280 จุด ขณะที่หากไทยได้อัตราภาษีที่ต่ำกว่าเวียดนาม (10%) ตามฉากทัศน์ Best Case จะมีผลบวกต่อการย้ายคำสั่งซื้อของ CCET และ KCE รวมถึง FDI ที่อาจไหลเข้ามาเพิ่ม หนุนให้ GDP ปี 2568 โต 1.8%, EPS อยู่ที่ 87 บาท และ SET Target ที่ 1,360 จุด
ในทางกลับกัน หากไทยถูกเก็บภาษี 36% สูงกว่าเวียดนาม (Worst Case) จะกระทบคำสั่งซื้อจากคู่แข่งโดยตรงทั้งกลุ่ม KCE, CCET, HANA, STGT และ STA โดย BLS ประเมินว่า GDP ปี 2568 อาจชะลอเหลือเพียง 0.9%, EPS ลดลงเหลือ 73 บาทต่อหุ้น และ SET อาจรูดต่ำสุดที่ 980 จุด (PER -1.25SD ที่ 13.4 เท่า) ซึ่งถือเป็นระดับที่น่าสะสมในระยะยาว
พร้อมกันนี้ BLS ประเมินสถานการณ์ความเป็นไปได้จากภาษีนำเข้าสหรัฐฯต่อสินค้าไทย เทียบกับประเทศในอาเซียน โดยอิงจากอัตราภาษีที่ประกาศก่อนหน้านี้ ได้แก่ อินโดนีเซีย 32% มาเลเซีย 24% เวียดนาม 20% และภาษีทางผ่าน (Transshipment) สูงถึง 40% พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบเชิงเปรียบเทียบต่ออุตสาหกรรมไทยหลักที่มีคู่แข่งในภูมิภาค เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ถุงมือยาง และอาหารแปรรูป
Scenario 1 (Base case): หากไทยถูกเรียกเก็บภาษี 18% ซึ่งต่ำกว่าอินโดฯ และมาเลเซีย และใกล้เคียงเวียดนาม บล.บัวหลวง ประเมินว่า STA และ HANA จะได้รับผลบวกชัดเจนจากส่วนต่างภาษีเกิน 5% ซึ่งช่วยหนุนคำสั่งซื้อจากคู่แข่ง ขณะที่ KCE และ CCET อาจได้รับประโยชน์จำกัด โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นต่ำและเปลี่ยนซัพพลายเออร์ได้ง่าย เช่น Hard Disk ส่วน PCB ที่มาร์จิ้นสูงของ KCE จะได้ผลบวกไม่เด่นชัด
Scenario 2 (Best case): หากไทยถูกเก็บภาษีเพียง 10% ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งอาเซียนทั้งหมด บล.บัวหลวงประเมินว่า KCE, HANA, STA และ STGT จะได้ประโยชน์ชัดเจนจากส่วนต่างภาษีระดับสูง ขณะเดียวกัน กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมอาจได้รับแรงหนุนจากเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) หากไทยรอดพ้นจากภาษีทางผ่านที่เวียดนามได้รับ
Scenario 3 (Worst case): หากไทยถูกเก็บภาษีสูงถึง 36% สูงกว่ามาเลเซียและเวียดนามมาก และมากกว่าอินโดฯ เล็กน้อย จะส่งผลลบชัดเจนต่อ CCET, KCE, HANA และ STGT จากความเสี่ยงการย้ายคำสั่งซื้อไปยังคู่แข่ง ขณะที่ STA อาจเผชิญแรงกดดันจากคำสั่งซื้อที่ลดลงเช่นกัน
บล.บัวหลวง ยังเตือนว่า หากเกิดกรณีเลวร้ายสุด (Bear case) อาจทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทใน SET ลดลงสู่ระดับ 73 บาทต่อหุ้น และฉุดดัชนี SET ลงสู่ 980 จุด โดยอิงจากค่า PER ที่ระดับ -1.25SD (ประมาณ 13.4 เท่า) ซึ่งจะเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้น
ขณะที่ในภาพรวมภาวะตลาดที่ผันผวนจากเศรษฐกิจชะลอตัว SET มักซื้อขายที่ระดับ PER ในช่วง -1.0 ถึง -1.25SD ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์คัดเลือกหุ้นที่มีความแข็งแกร่งด้านเงินปันผล และแนวโน้มกำไรมั่นคง
กลยุทธ์การลงทุน (Strategy Snippet)
• Dividend Play: คัดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงเกิน 5% ต่อปีในปี 2568-2569 และมีการเติบโตของ DPS และ EPS ต่อเนื่องในช่วง 5 ปี โดยคาดกำไรปี 68 ถูกปรับลดไม่เกิน 5%
• Earnings Play: คัดหุ้นที่มีกำไรไตรมาส 1/68 ดีกว่าหรือเป็นไปตามคาด และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 2/68 โดยการปรับประมาณการกำไรไม่เกิน 5%
• Sector Play – เครื่องดื่มชูกำลัง: แม้การบริโภคในประเทศชะลอลง แต่กลุ่มนี้ยังชะลอตัวน้อยกว่าหมวดอื่น โดยเฉพาะรายที่สามารถขยาย Market Share ต่อเนื่อง ทั้งยังได้อานิสงส์ต้นทุนลดลงจากราคาน้ำตาลและเศษแก้ว หนุนอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น +30bps ในไตรมาส 2 และ +80bps ในไตรมาส 3
• Global Play – ปิโตรเคมี: ราคาสินค้าอย่าง HDPE, PP และ PET ต่ำกว่าระดับคุ้มทุน ช่วยลดแรงกดดันจากซัพพลายใหม่ คาดการฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาส 4 หากเศรษฐกิจโลกฟื้น โดยเฉพาะหากดัชนี China PMI New Export Orders เริ่มปรับขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน พบว่า อินโดนีเซียอาจถูกเก็บภาษีถึง 32%, มาเลเซีย 24% และเวียดนาม 20% ซึ่งหากไทยอยู่ในระดับภาษีที่ต่ำกว่ากลุ่มนี้ จะกลายเป็นจุดได้เปรียบ โดยเฉพาะกลุ่มยางและอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ความเสี่ยงเพิ่มเติมยังอยู่ที่ภาษีทางผ่าน (Transshipment) ซึ่งเวียดนามอาจโดนเก็บสูงถึง 40%
ด้านกลยุทธ์การลงทุน BLS แนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นที่มี Dividend Yield สูงเกิน 5% ต่อเนื่องในปี 2568-2569 มีแนวโน้ม EPS และ DPS เติบโตต่อเนื่องในรอบ 5 ปี และมีความเสี่ยงจากการถูกหั่นกำไรไม่เกิน 5% รวมถึงกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังที่ได้อานิสงส์จากต้นทุนวัตถุดิบลดลง และกลุ่มปิโตรเคมีที่เทรดต่ำกว่า Book Value อย่างมีนัยสำคัญ (PBV ปี 2568 อยู่ที่ 0.4 เท่า) และมีแนวโน้มฟื้นตัวในไตรมาส 4 หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและ PMI ของจีนกลับมาอยู่ในทิศทางบวก