“เอเชีย พลัส” ชี้ SET ครึ่งปีหลังสดใส แนะสะสมหุ้นพื้นฐานดี-รับเศรษฐกิจฟื้น

“บล.เอเชีย พลัส”  ประเมิน SET Index ครึ่งปีหลังสดใส ตามเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ส่งผลให้เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน แนะกลยุทธ์ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง รับโอกาสฟื้นตัวจากเศรษฐกิจและตลาดหุ้นท่ามกลางความผันผวน


บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ ASPS ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศประเมินว่าภาพรวมการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปี 2568 เริ่มมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ครึ่งปีแรกเผชิญแรงกดดันจากนโยบายการเงินที่ไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะนโยบายภาษีการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การส่งสัญญาณที่ “ผ่อนปรนมากขึ้น” จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ช่วยคลายความกังวลของตลาด พร้อมหนุนให้นักลงทุนหันไปให้ความสำคัญกับ “ผลกระทบที่แท้จริง” ต่อธุรกิจ เช่น ต้นทุนและพฤติกรรมผู้บริโภค ที่จะมีผลต่อกำไรในระยะต่อไป

ทั้งนี้ ตลาดสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากการบริโภค-บริการ หนุนแนวโน้ม EPS S&P 500 ทำจุดสูงสุดใหม่ ในด้านเศรษฐกิจ แม้ประเด็นภาษียังเป็นแรงกดดัน แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเดินหน้าขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากภาคการบริโภคและภาคบริการ Bloomberg จึงปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี S&P 500 ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ และลดโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ เหลือเพียง 35% ในเดือนกรกฎาคม จากระดับ 45% เมื่อเดือนเมษายน

โดย ASPS มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังโดดเด่นจากการเป็นศูนย์กลางของบริษัทนวัตกรรมระดับโลก โดยเฉพาะกลุ่ม Big Tech ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งสร้างโอกาสการเติบโตตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ส่งผลให้ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนสถาบันทั่วโลก

ทั้งยังประเมิน Upside ของ S&P 500 ยังเปิดกว้าง หากสหรัฐฯ เดินหน้าลดดอกเบี้ยและผ่านงบใหม่ แม้ Forward P/E ของ S&P 500 อยู่ที่ระดับสูงราว 22.3 เท่า (ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2568) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี แต่ Bloomberg Consensus ยังคงให้เป้าหมายสิ้นปีที่ 6,732 จุด คิดเป็น Upside ประมาณ 7.8% โดยได้แรงหนุนจากทั้ง Big Tech และกลุ่มหุ้นที่เคยเป็น “Laggard” ซึ่งอาจฟื้นตัวตามแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศ หากสหรัฐฯ สามารถลดอัตราดอกเบี้ย และผลักดันงบประมาณชุดใหม่ผ่านสภาได้ ก็จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อการทำจุดสูงสุดใหม่ของตลาด

อีกทั้ง ปัจจัยเสี่ยงยังต้องติดตาม – แนะสร้างสมดุลระหว่างโอกาสและความมั่นคง อย่างไรก็ตามปัจจัยที่อาจสร้างความผันผวนให้ตลาดในระยะสั้นยังมีอยู่หลายประเด็น เช่น ผลประกอบการไตรมาส 2 ที่อาจต่ำกว่าคาดการณ์, การชะลอตัวของการบริโภคและการจ้างงาน, นโยบายใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ, การเปลี่ยนแปลงในท่าทีของธนาคารกลาง และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งยังส่งผลต่อกระแสเงินทุนและราคาสินทรัพย์ทั่วโลก

สำหรับกลยุทธ์ ที่แนะนำทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี ควบคู่กระจายพอร์ตสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ASPS แนะนำให้นักลงทุนใช้จังหวะ “แรงขาย” เป็นโอกาสในการ “ทยอยสะสม” หุ้น โดยเน้นกลุ่มบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีความมั่นคงในเชิงโครงสร้าง เช่น กลุ่ม Big Tech และ AI Supply Chain และ กลุ่ม Financials, Travel, และ Defense ควรเสริมพอร์ตด้วยหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ เช่น Consumer Staples และ Health Care เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในช่วงตลาดผันผวน พร้อมทั้งเปิดรับโอกาสการลงทุนในตลาดต่างประเทศที่ยังมีศักยภาพในระยะกลาง เช่น ยุโรป, จีน, ฮ่องกง, และ เวียดนาม

อย่างไรก็ตามนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงในระยะสั้น ASPS ยังแนะนำให้จัดสรรพอร์ตบางส่วนไว้ใน สินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง ตราสารหนี้รัฐบาล และ ทองคำ ซึ่งช่วยเสริม Buffer และลดแรงกระเพื่อมของพอร์ตในช่วงที่ตลาดยังไม่เข้าสู่จุดมั่นคง

ส่วนตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3 “SET ดูสดใสขึ้น แต่ยังต้องติดตามหลายปัจจัยเสี่ยง” แนะกระจายพอร์ตหุ้นใหญ่เน้นปันผล-กำไรโต สายงานวิจัยฯ ASPS ประเมินภาพในช่วงไตรมาสที่ 3 SET ดูสดใสขึ้น แต่ยังต้องติดตามหลายปัจจัยเสี่ยง เริ่มที่ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ตะวันออกกลาง หลัง NATO บรรลุข้อตกลงเพิ่มงบกลาโหม 5% ของ GDP ภายใน 10 ปีข้างหน้า

ขณะที่สภาวะการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากความกังวลอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯต่อประเทศต่างๆที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และเพิ่มโอกาสเกิด Recession ท่ามกลางเงินเฟ้อที่อาจขยับขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ทำให้ทั่วโลกโน้มเอียงไปทางภาวะ Stagflation (Stagnation + Inflation) สิ่งที่ส่งผลตามมา คือ การเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยยากขึ้นของธนาคารกลางต่าง ๆ

รวมถึง FED ที่ส่งสัญญาณ Hawkish มากขึ้น สอดคล้องกับ Fed Watch Tool ที่คาดว่าจะเห็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกปีนี้ในเดือน ก.ย. 68 (4.50% สู่ 4.25%) จากช่วงก่อนหน้าที่คาดลดครั้งแรก ณ ก.ค.68 ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจโลกดังกล่าว น่าจะกดดันเศรษฐกิจไทยให้โตระดับใกล้เคียง 2%YoY ดังหลายสำนักเศรษฐกิจคาดการณ์ไว้ และมีโอกาสเห็นมาตรการที่จะเข้าประคับประคองทั้งนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินในอนาคต

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร ASPS ประเมินว่า ทิศทางดอกเบี้ยไทยช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง ราว 0.25-0.50% สะท้อนผ่านตราสารหนี้ไทยอายุน้อยกว่า 7 ปีที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ย ขณะที่นโยบายการคลัง น่าจะมีมาตรการกระตุ้นออกมาในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ตามการเบิกจ่ายงบประจำปี 69 ที่ยังคงกรอบเวลาเดิม หากกระบวนการของสภายังคงอยู่ และไม่มีการยุบสภาในเร็ววัน ส่วนกำไรตลาดฯ

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย ASPS คาดอยู่ที่เฉลี่ย 2.62 แสนล้านบาทต่อไตรมาส โดยประเมินกำไรทั้งปี 1.06 ล้านล้านบาท หรือ 86 บาท/หุ้น (เติบโต 17%YOY) ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ และถือว่า CONSERVATIVE กว่า BLOOMBERG CONSENSUS ส่วน Sector ที่กำไรเติบโตต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 2 ถึง 3 มักจะปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงไตรมาสที่ 3 อาทิ กลุ่ม ETRON, HELTH, PROP, TRANS เป็นต้น

ขณะที่ช่วงไตรมาสที่ 2/68 หวังแรงขายจากนักลงทุนสถาบัน-ต่างชาติ จะเบาลงตามยอดเม็ดกองทุน LTF ที่อยู่เพียง 1.17 แสนล้านบาท (ลดลงมา 1.02 แสนล้านบาท YTD) และสัดส่วนต่างชาติถือหุ้นไทยทางตรงที่น้อยลงเรื่อย ๆ จนล่าสุดอยู่ระดับ 24.2% โดยปัจจุบันดัชนี SET มี VALUATION ถูก มี PBV68F ต่ำกว่า 1.0 เท่า (-2SD) ต่ำสุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก (MSCI ACWI มี PBV 3.0 เท่า) และ SET มี DIVIDEND YIELD 68F สูง 4.8% (+1SD) สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเช่นกัน ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินเป้าหมายดัชนีปลายปี 68 แบบอนุรักษ์นิยม (CONSERVATIVE) ภายใต้ EPS68F ที่ 86 บาทต่อหุ้น, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.75% อิง MEYG 4.50% (+1 SD) ได้ดัชนีเป้าหมายปี 2568 ที่ 1,376 จุด มี UPSIDE เปิดจากระดับดัชนีในปัจจุบันที่อยู่ในช่วง 1,140-1,170 จุดพอสมควร

โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นใหญ่กระจายหลายอุตสาหกรรม และมี High Dividend Yield หรือ Profit Growth 68 เติบโต อย่าง PTT, SCC, CPALL, BDMS, TRUE, PLANB

สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน แม้ภาวะอัตราผลตอบแทน (Yield) โดยเฉพาะในฝั่งพันธบัตรอายุยาวจะปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 3.00% แต่ยังมีแนวโน้มลดลงต่อ ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปี

ด้าน นางสาวลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง ASPS เปิดเผยว่า แม้ผลตอบแทนตราสารหนี้จะลดลงต่อเนื่อง นักลงทุนยังคงเข้าซื้อตราสารหนี้ไทยอย่างคึกคัก โดยเน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบ Selective Buy ในตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกว่า BBB และมีอายุไม่เกิน 2 ปี ขณะที่ Perpetual Bonds ของบริษัทชั้นนำที่ให้ผลตอบแทน 3.00–4.00% ยังคงเป็นที่ต้องการ เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ทั่วไปที่ให้ Yield ต่ำกว่า 3.00%

โดยข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ระบุว่า มูลค่าคงค้างของตลาดตราสารหนี้ไทยอยู่ที่ 17.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% จากปีก่อน โดยเป็นการเติบโตของพันธบัตรภาครัฐ ขณะที่มูลค่าคงค้างของตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวลดลง 19.3% แบ่งเป็น Investment Grade ลดลง 19.7% และ High Yield ลดลง 13.2% มูลค่าการออกลดลงมาอยู่ที่ 372,697 ล้านบาท และ 26,123 ล้านบาท ตามลำดับ

ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มูลค่าตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวที่ครบกำหนดอยู่ที่ 414,810 ล้านบาท แบ่งเป็นในไตรมาส 3 จำนวน 194,385 ล้านบาท และในไตรมาส 4 จำนวน 220,424 ล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวสูงสุดยังคงเป็นกลุ่มเดิม ได้แก่ กลุ่มพลังงาน (ENER), กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN), กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (PROP), กลุ่มพาณิชย์ (COMM) และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) คิดเป็นสัดส่วนรวม 61% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด

หากพิจารณาตามอันดับความน่าเชื่อถือ พบว่าหุ้นกู้กลุ่มอันดับเครดิต A ยังคงมีมูลค่าคงค้างสูงสุด โดยรวมแล้วกว่า 94% ของตลาดเป็นหุ้นกู้ในกลุ่ม Investment Grade (ตั้งแต่ BBB- ขึ้นไป)

ขณะเดียวกัน แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีความเป็นไปได้ที่จะถูกปรับลดลงจากระดับ 1.75% เหลือ 1.50% หรือต่ำกว่า โดยอิงจากศักยภาพของแบงก์ชาติที่ยังสามารถลดดอกเบี้ยได้อีก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายเคยลดต่ำสุดถึง 0.5% ในปี 2565 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยแท้จริง (Real Interest Rate) ปัจจุบันเพิ่มขึ้นราว 2.00% และค่าเงินบาทแข็งค่าจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ

ตลาดพันธบัตรสะท้อนความคาดหวังนี้แล้ว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุไม่เกิน 15 ปี ลดลงต่ำกว่า 1.75% ขณะเดียวกัน Yield พันธบัตรอายุ 1 ปี ลดลงกว่า 53–54 bps เหลือประมาณ 1.43% และพันธบัตรอายุยาวกว่า 1 ปี ลดลงอย่างน้อย 65 bps โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลอายุ 46 ปี (LB726A) ที่ Yield ลดต่ำกว่า 2.30% แล้วในปัจจุบัน

กลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลังจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ตามวัตถุประสงค์ หากเน้นการซื้อเพื่อเก็งกำไร (Trading) ควรเลือกตราสารหนี้ภาครัฐที่มีอายุกลาง ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะสั้น แต่หากต้องการ “Buy and Hold” ควรเลือก Perpetual Bonds หรือหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตไม่ต่ำกว่า BBB รวมถึงหุ้นกู้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น กลุ่มอาหาร (Food), การแพทย์ (Health), และธุรกิจเกษตร (Agri)

แม้ตลาดตราสารหนี้โดยรวมจะดูซึมตัวจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลก แต่หากเลือกลงทุนอย่างมีเป้าหมายและกลยุทธ์ ก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ในระยะกลางถึงยาว

Back to top button