“เคจีไอ” ชู GFPT เด่นสุดกลุ่มอาหาร รับราคาไก่เพิ่ม–ต้นทุนลด หนุนงบ Q3 โตแกร่ง

บล.เคจีไอเผย GFPT โดดเด่นในกลุ่มอาหาร รับปัจจัยหนุนจาก spread ไก่ที่ขยับขึ้นต่อเนื่อง ขานรับต้นทุนอาหารสัตว์ลด ขณะที่ราคาหมูอ่อนตัวกดดันคู่แข่ง คงคำแนะนำ “ซื้อ” มองกำไรผ่านจุดต่ำสุดแล้ว


บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยบทวิเคราะห์อุตสาหกรรมอาหาร โดยระบุว่า ภาพรวมราคาสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว์มีความผันผวนในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะราคาหมูในประเทศที่ปรับตัวลดลงจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัว ขณะที่ราคาไก่ยังทรงตัว ส่งผลให้ spread ไก่ ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ spread หมู มีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน

ราคาหมูในประเทศลดลงราว 3% อยู่ที่ระดับ 77.5 บาท/กิโลกรัม ส่วนราคาหมูในประเทศจีนปรับลงเช่นกัน โดยอยู่ที่ 14.2 หยวน/กิโลกรัม จากปัจจัยอุปทานส่วนเกินและการเปิดนำเข้าหมูจากสหรัฐฯ ขณะที่ราคาไก่ยังคงทรงตัวที่ 40.5 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ spread ราคาไก่ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 15.2% อยู่ที่ 18.7 บาท/กิโลกรัม

ในด้านต้นทุนอาหารสัตว์ พบว่าราคาข้าวโพดและกากถั่วเหลืองลดลงเล็กน้อยจากภาวะอุปทานล้นตลาด ส่งผลให้ต้นทุนลดลงและหนุนอัตรากำไรของผู้ผลิตไก่ในไตรมาส 3/68 ให้มีแนวโน้มดีขึ้น โดยราคาข้าวโพดในประเทศลดลงเล็กน้อย 0.5% อยู่ที่ 9.8 บาท/กก. ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคากากถั่วเหลืองนำเข้าก็ลดลงต่อเนื่องอีก 2.9% อยู่ที่ 280.5 ดอลลาร์/ตัน ผลจากอุปทานล้นตลาด (oversupply) ขณะที่ spread ราคาไก่ในเดือนกรกฎาคมดีขึ้น 15.2% อยู่ที่ 18.7 บาท/กก. จากต้นวัตถุดิบที่ลดลง แม้ว่าต้นทุนอาหารสัตว์จะอยู่ในเกณฑ์ดีก็ตาม แต่ทว่า spread ราคาหมูในเดือนกรกฎาคมกลับลดลง 13.6% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 49.8 บาท/ท/กก. ตามราคาหมูที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น spread ราคาไก่และ margin ก็น่าจะดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าใน ไตรมาสที่ 3/68 สวนทางกับที่ spread ราคาหมูนาจะลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

ส่วนในเดือนมิอุนายน 2568 การส่งออกไก่ของไทยเพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 4.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 1.27 หมื่นล้านบาท การส่งอออกที่โตขึ้นส่วนใหญ่มาจากการส่งออกไก่แช่แข็งที่เพิ่มขึ้น 14.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะที่ส่งไปยังเกาหลีใต้และมาเถเซีย

ขณะที่การส่งออกไก่แปรรูปเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ตามการส่งออกไก่รวมลดลง เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ฉุดจากการส่งออกไก่แช่แข็งลดลงเป็นหลัก (ลดลง 8.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า) โดยเฉพาะ ไปยังตลาดหลัก ๆ อย่างญี่ปุ่นและจีน สำหรับช่วงครึ่งแรกปี 2568 การส่งออกยังเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หลัก ๆ ผลักดันจากไก่แช่แข็ง แต่เมื่อมองไปไปในครึ่งหลังปี 2568 นักวิเคราะห์คาดว่าการส่งออกจะชะลอตัวลงจากฐานครึ่งหลังปี 2567 ที่สูง

นักวิเคราะห์คาดว่าผู้ผลิตเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจหมูจะถูกกดดันจากราคา เนื้อสัตว์และ margin ที่ลดลงในไตรมาสที่ 3/2568 ทั้งนี้ ในบรรดายผลิตเนื้อสัตว์ โดยยังคงเลือก บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT เป็นทุนเด่นในกลุ่มอาหาร เพราะไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากราคาหมูในประเทศที่ลดลงมากนักเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกัน

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อ GFPT จากตัวเลขของการส่งออกของไก่สดและแช่แข็งในเดือนมิถุนายน เติบโต 15.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หนุนโดยปริมาณการส่งออกที่เติบโตขึ้น ในขณะเดียวกันแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2568 แข็งแกร่งคาดอยู่ที่ 591 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หนุนโดยอัตรากำไรขั้นต้น แต่ลดลง 7.4% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นจากกำไรส่วนแบ่งจากบริษัท จีเอฟพีที นิชชิน จำกัด หรือ GFN ที่ลดลง

ทั้งนี้ แนวโน้มครึ่งหลังปี 2568 คาดว่าราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นประมาณ 6% สำหรับตลาดยุโรป และต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนความสามารถการทำกำไรที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3/2568 และราคากากถั่วเหลืองเฉลี่ยในช่วงต้นเดือน ก.ค. 2568 อยู่ที่ 15.6 บาท/กก. ลดลง 6.1% จากราคาเฉลี่ยใน 2568

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่าไตรมาส 3/2568 คาดการณ์ว่า GFPT กำไรปกติจะกลับมาเติบโตได้ทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน อยู่ในกรอบ 600–650 ล้านบาท ตามปัจจัยฤดูกาลซึ่งเป็น High Season ของการส่งออก และต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องหนุนให้ GPM มีแนวโน้มปรับเพิ่มได้อีก

ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น GFPT คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2568 ที่ 11.20 บาทต่อหุ้น มองว่าราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PER ปี 2568 เพียง 5.8 เท่า ยังไม่สะท้อนศักยภาพการฟื้นตัวของผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง นักวิเคราะห์จึงยังคงประมาณการกำไรปี 2568 ที่ระดับ 2,033 ล้านบาท เติบโต 8.3% จากปีก่อน พร้อมมองว่ากำไรผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่ “ไม่แพง” เมื่อเทียบกับแนวโน้มการฟื้นตัวระยะกลางถึงยาว

Back to top button